กลุ่ม ปตท.ชะลอการออกหุ้นกู้ในปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท จนกว่าสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย แถมตลาดการเงินสหรัฐฯไม่สดใส ชี้ การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามา ลุ้นปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน 1-2 วันนี้
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทตัดสินใจชะลอการออกหุ้นในกลุ่มเครือ ปตท.ในปีนี้ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การเมืองในไทยประเทศจะคลี่คลาย มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีใหม่ ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินสหรัฐฯก็ไม่ดี โดยล่าสุด เลห์แมน บราเธอร์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐฯประสบปัญหาล้มละลายจึงต้องยื่นเรื่องขอพิทักษ์ทรัพย์สินภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐฯ ทำให้การระดมทุนในตลาดต่างประเทศทำได้ยากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอาจจะหาได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ในปีนี้บริษัทจะชะลอการออกหุ้นกู้ ก็ไม่กระทบฐานะการเงิน เนื่องจากในเครือ ปตท.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งตามแผนในปลายปีนี้ กลุ่มเครือ ปตท.จะออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก โดยบริษัทอาจหันมากู้ยืมระยะสั้นในรูปสกุลเงินบาทผ่านสถาบันการเงินในประเทศแทน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า การยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ จะส่งผลดี ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยได้ และในวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรึคนใหม่ จะทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายดีขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาเกิดภาวะสุญญากาศ ขณะที่นักลงทุนต่างรอความชัดเจนของปัญหาทางด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยการเมืองส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจาก 800 จุดมาอยู่ที่ 600 จุด ปรับลดลง 20%โดยต่างชาติเทขายหุ้นคิดเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ทั้งๆ ที่ผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทจดทะเบียนมีผลการดำเนินงานดีขึ้น 40% มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และราคาหุ้นบางตัวต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุคแวร์ลู) ด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่า จะมีรายได้รวมใกล้เคียง 2 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 จะไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากราคาน้ำมันไตรมาส 3 ปรับลดลง ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบของโรงกลั่น (มาร์จิน) ลดลงไปด้วย ประกอบกับมีการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน แต่เชือว่าผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้จะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องพิจารณาจากสถานการณ์อื่นๆประกอบด้วย
ส่วนราคาก๊าซแอลพีจี ขณะนี้ ปตท.ได้แบกรับภาระส่วนต่างการนำเข้ากับราคาขายในประเทศไปแล้ว 4,000 ล้านบาท โดย ปตท.จะคงแบกรับภาระดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะมีการตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามาดูแล โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ ปตท.แบกรับภาระแอลพีจีในปีนี้ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท หากบริษัทต้องรับภาระสูงกว่านี้คงต้องพิจารณาอีกครั้ง
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ ปตท.จะพิจารณาว่าจะมีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันหรือไม่ หลังจากการราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนน้ำมันปรับสูงขึ้น รวมทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นด้วย หากค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันขายปลีกจะปรับลดลง 2-3 บาท/ลิตร
ส่วนซื้อหุ้น อยู่ระหว่างการศึกษา เพราะการซ้อห้นคืนมีหลายขั้นตอน ต้องได้รับความยินยาม จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ยอมรับราคาหุ้นในเครือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คาดว่า น่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทตัดสินใจชะลอการออกหุ้นในกลุ่มเครือ ปตท.ในปีนี้ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การเมืองในไทยประเทศจะคลี่คลาย มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีใหม่ ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินสหรัฐฯก็ไม่ดี โดยล่าสุด เลห์แมน บราเธอร์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐฯประสบปัญหาล้มละลายจึงต้องยื่นเรื่องขอพิทักษ์ทรัพย์สินภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐฯ ทำให้การระดมทุนในตลาดต่างประเทศทำได้ยากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอาจจะหาได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ในปีนี้บริษัทจะชะลอการออกหุ้นกู้ ก็ไม่กระทบฐานะการเงิน เนื่องจากในเครือ ปตท.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งตามแผนในปลายปีนี้ กลุ่มเครือ ปตท.จะออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก โดยบริษัทอาจหันมากู้ยืมระยะสั้นในรูปสกุลเงินบาทผ่านสถาบันการเงินในประเทศแทน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า การยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ จะส่งผลดี ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยได้ และในวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรึคนใหม่ จะทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายดีขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาเกิดภาวะสุญญากาศ ขณะที่นักลงทุนต่างรอความชัดเจนของปัญหาทางด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยการเมืองส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจาก 800 จุดมาอยู่ที่ 600 จุด ปรับลดลง 20%โดยต่างชาติเทขายหุ้นคิดเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ทั้งๆ ที่ผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทจดทะเบียนมีผลการดำเนินงานดีขึ้น 40% มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และราคาหุ้นบางตัวต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุคแวร์ลู) ด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่า จะมีรายได้รวมใกล้เคียง 2 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 จะไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากราคาน้ำมันไตรมาส 3 ปรับลดลง ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบของโรงกลั่น (มาร์จิน) ลดลงไปด้วย ประกอบกับมีการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน แต่เชือว่าผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้จะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องพิจารณาจากสถานการณ์อื่นๆประกอบด้วย
ส่วนราคาก๊าซแอลพีจี ขณะนี้ ปตท.ได้แบกรับภาระส่วนต่างการนำเข้ากับราคาขายในประเทศไปแล้ว 4,000 ล้านบาท โดย ปตท.จะคงแบกรับภาระดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะมีการตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามาดูแล โดยก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ ปตท.แบกรับภาระแอลพีจีในปีนี้ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท หากบริษัทต้องรับภาระสูงกว่านี้คงต้องพิจารณาอีกครั้ง
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ ปตท.จะพิจารณาว่าจะมีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันหรือไม่ หลังจากการราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนน้ำมันปรับสูงขึ้น รวมทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นด้วย หากค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันขายปลีกจะปรับลดลง 2-3 บาท/ลิตร
ส่วนซื้อหุ้น อยู่ระหว่างการศึกษา เพราะการซ้อห้นคืนมีหลายขั้นตอน ต้องได้รับความยินยาม จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ยอมรับราคาหุ้นในเครือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คาดว่า น่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้