คณะกรรมการนโยบายถาวรฯ ไทยพีบีเอส ยุค “เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม” ร้อนวิชา ซุ่มเดินหน้าทำงาน ประชุมนอกรอบ เผยเรื่องสำคัญที่ต้องทำ จุดยืนขององค์กร การสรรหา ผอ.คนใหม่ รวมถึงการมองหาที่ตั้งองค์กรแบบถาวรในอนาคต
ตามที่คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบายฯ ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 9 ท่านออกมาแล้ว ประกอบด้วย ด้านประชาสังคม คือ นายกมล กมลตระกูล, นายจอน อึ๊งภากรณ์, นางมัทนา หอมลออ และ ดร.อรศรี งามวิทยาพงศ์ ด้านสื่อสารมวลชน คือ นายสมชัย สุวรรณบรรณ และ นางเอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ด้านบริหารจัดการองค์กร คือ ศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม, นางจินตนา พันธุฟัก และ นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายถาวรฯทั้ง 9 ท่าน ได้มีการนัดประชุมร่วมกันแบบไม่เป็นทางการไปเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาสาระของการประชุมครั้งนี้นั้นจะเน้นไปในทางการปรับความคิด วิสัยทัศน์ และคอนเซ็ปต์ในการทำงาน ของคณะกรรมการแต่ละท่าน ซึ่งปรากฏว่า คณะกรรมการนโยบายถาวรฯทั้ง 9 ท่าน ต่างมีแนวคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายถาวร องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ สถานีโทรทัศน์สาธารณะ ไทยพีบีเอส “ทีวีไทย ทีวีสาธารณ” เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า การประชุมแบบไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา วาระสำคัญที่มีการร่วมพูดคุยกัน จะเป็นเรื่องของการแสดงจุดยืนขององค์กรเป็นสำคัญ กับการเป็นองค์กรทีวีสาธารณะ ที่มีสถานะต่างออกไปจากสื่อของรัฐและเอกชน จึงไม่มีขีดจำกัดในการทำงาน สามารถสร้างสรรค์รายการที่ดีและมีคุณภาพได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องมาทำตามคำสั่งอย่างสื่อของรัฐ หรือต้องมารอคอยรายได้จากโฆษณาเหมือนสื่อของเอกชน นอกจากนี้ ยังต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการที่ทางรัฐจะขอความร่วมมือเพื่อมาใช้เวลาของทางสถานีด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดยืนขององค์กรทีวีสาธารณะแห่งนี้ สอดคล้องกับ 3 เรื่องที่ได้ประชุมกัน คือเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของจรรยาบรรณองค์กร เกี่ยวกับการเป็นสื่อสาธารณะที่ต้องมีการกำหนดจรรยาบรรณขึ้น เพื่อให้ทุกคนในองค์กรได้ปฏิบัติ และอีก 2 เรื่องที่ได้มีการพูดคุยกัน คือ การสรรหาผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ภารกิจเร่งด่วน ที่ต้องสรรหาให้ได้ภายใน 120 วัน และอีกเรื่อง คือ การมองหาสถานที่ตั้งถาวรขององค์กรในอนาคต เพื่อแสดงความเป็นเอกเทศของความเป็นองค์การทีวีสาธารณะ
ทั้งนี้ เบื้องต้นคงจะต้องมีการสำรวจหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ได้ก่อน รวมทั้งต้องมีการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะตามมาด้วย จึงจะมีการร่างแผนยื่นเรื่องขอเบิกงบประมาณมาสร้างสถานที่ตั้งแห่งใหม่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนี้ ทางองค์กรยังคงทำสัญญาต่อสัญญาเช่าพื้นที่กับทางตึก ชินวัตร 3 ต่อไปก่อน จนกว่าจะหาที่ตั้งแห่งใหม่ได้
นายแพทย์ พลเดช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม ยังได้มีการคัดเลือกให้ทาง ศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายถาวรด้วย โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการถาวร ตกลงให้ทางศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม เป็นตัวแทนของคณะกรรมการนโยบายถาวร ทำหน้าที่ให้ข่าวสารกับทางสื่อมวลชน ในเรื่องของนโยบายต่างๆ ที่คณะกรรมการนโยบายถาวรจะเข้ามาทำหน้าที่ครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายถาวรทั้ง 9 ท่าน มีวาระการทำงานเป็นเวลา 4 ปี มีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา โดยมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลขององค์กรทีวีสาธารณะ ให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ ซึ่งในวันที่ 22 ก.ค.นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ทางคณะกรรมการนโยบายถาวรทั้ง 9 ท่าน จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการด้วย
ตามที่คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบายฯ ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 9 ท่านออกมาแล้ว ประกอบด้วย ด้านประชาสังคม คือ นายกมล กมลตระกูล, นายจอน อึ๊งภากรณ์, นางมัทนา หอมลออ และ ดร.อรศรี งามวิทยาพงศ์ ด้านสื่อสารมวลชน คือ นายสมชัย สุวรรณบรรณ และ นางเอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ด้านบริหารจัดการองค์กร คือ ศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม, นางจินตนา พันธุฟัก และ นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายถาวรฯทั้ง 9 ท่าน ได้มีการนัดประชุมร่วมกันแบบไม่เป็นทางการไปเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาสาระของการประชุมครั้งนี้นั้นจะเน้นไปในทางการปรับความคิด วิสัยทัศน์ และคอนเซ็ปต์ในการทำงาน ของคณะกรรมการแต่ละท่าน ซึ่งปรากฏว่า คณะกรรมการนโยบายถาวรฯทั้ง 9 ท่าน ต่างมีแนวคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป หนึ่งในคณะกรรมการนโยบายถาวร องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ สถานีโทรทัศน์สาธารณะ ไทยพีบีเอส “ทีวีไทย ทีวีสาธารณ” เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า การประชุมแบบไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา วาระสำคัญที่มีการร่วมพูดคุยกัน จะเป็นเรื่องของการแสดงจุดยืนขององค์กรเป็นสำคัญ กับการเป็นองค์กรทีวีสาธารณะ ที่มีสถานะต่างออกไปจากสื่อของรัฐและเอกชน จึงไม่มีขีดจำกัดในการทำงาน สามารถสร้างสรรค์รายการที่ดีและมีคุณภาพได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องมาทำตามคำสั่งอย่างสื่อของรัฐ หรือต้องมารอคอยรายได้จากโฆษณาเหมือนสื่อของเอกชน นอกจากนี้ ยังต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการที่ทางรัฐจะขอความร่วมมือเพื่อมาใช้เวลาของทางสถานีด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดยืนขององค์กรทีวีสาธารณะแห่งนี้ สอดคล้องกับ 3 เรื่องที่ได้ประชุมกัน คือเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของจรรยาบรรณองค์กร เกี่ยวกับการเป็นสื่อสาธารณะที่ต้องมีการกำหนดจรรยาบรรณขึ้น เพื่อให้ทุกคนในองค์กรได้ปฏิบัติ และอีก 2 เรื่องที่ได้มีการพูดคุยกัน คือ การสรรหาผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ภารกิจเร่งด่วน ที่ต้องสรรหาให้ได้ภายใน 120 วัน และอีกเรื่อง คือ การมองหาสถานที่ตั้งถาวรขององค์กรในอนาคต เพื่อแสดงความเป็นเอกเทศของความเป็นองค์การทีวีสาธารณะ
ทั้งนี้ เบื้องต้นคงจะต้องมีการสำรวจหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ได้ก่อน รวมทั้งต้องมีการคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะตามมาด้วย จึงจะมีการร่างแผนยื่นเรื่องขอเบิกงบประมาณมาสร้างสถานที่ตั้งแห่งใหม่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนี้ ทางองค์กรยังคงทำสัญญาต่อสัญญาเช่าพื้นที่กับทางตึก ชินวัตร 3 ต่อไปก่อน จนกว่าจะหาที่ตั้งแห่งใหม่ได้
นายแพทย์ พลเดช กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม ยังได้มีการคัดเลือกให้ทาง ศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายถาวรด้วย โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการถาวร ตกลงให้ทางศาสตราจารย์ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม เป็นตัวแทนของคณะกรรมการนโยบายถาวร ทำหน้าที่ให้ข่าวสารกับทางสื่อมวลชน ในเรื่องของนโยบายต่างๆ ที่คณะกรรมการนโยบายถาวรจะเข้ามาทำหน้าที่ครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายถาวรทั้ง 9 ท่าน มีวาระการทำงานเป็นเวลา 4 ปี มีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา โดยมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลขององค์กรทีวีสาธารณะ ให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ ซึ่งในวันที่ 22 ก.ค.นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ทางคณะกรรมการนโยบายถาวรทั้ง 9 ท่าน จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการด้วย
