“ทรนง” ใจชื้น ความฝันใกล้เป็นความจริง BOI ส่อแววให้การสนับสนุนร่วมปั้นโรงถ่ายหนัง สู่ภาคนิคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอนาคต เผยเร่งสร้างโรงถ่ายทั้งวันทั้งคืน ต้นทุนก่อสร้างพุ่ง 20% หวังเปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบให้ทันตามแผนใน 3 ปี คว้า 3 ประเทศ เตรียมใช้บริการในปีนี้ พร้อมรุกฆาต เตรียมฉายภาพยนตร์ 3 เรื่องทั้งไทยและต่างประเทศ มั่นใจโกยรายได้ตามเป้าที่วางไว้ 1,000 ล้านบาทในปีนี้
นายทรนง ศรีเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเว็นตี้ จูน เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการเปิดตัวโครงการก่อสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ ที่คลุมพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงปลายปี 2550 ที่ผ่านมา ความคืบหน้าล่าสุดในขณะนี้ ทางบริษัทได้มีการทำหนังสือไปยังทาง BOI เพื่อขอส่งเสริมการลงทุน คาดว่า อีก 4-5 เดือนน่าจะเรียบร้อย เพราะทาง BOI เองก็ได้ให้ความสนใจที่จะร่วมสนับสนุนอยู่แล้ว
“หากภาครัฐให้การสนับสนุนและเห็นถึงความสำคัญของโรงถ่ายดังกล่าว การที่จะทำให้โรงถ่ายแห่งนี้ พัฒนาสู่ภาคนิคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ในอนาคต คงไม่ยากอีกต่อไป ซึ่งมองว่าเมื่อถึงเวลานั้น สถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทได้แน่ ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว หรือเป็นโรงถ่ายระดับโลกที่หลายบริษัทจากทั่วโลก พร้อมที่จะเข้ามาใช้บริการ จากความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เรามอบให้ รวมถึงติดต่อประสานงาน หากต้องการที่จะใช้โลเกชันอื่นๆ นอกเหนือจากในสตูดิโอนี้ด้วย”
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการร่วมจัดโรดโชว์โปรโมตโรงถ่ายดังกล่าว พร้อมกับนำเสนอภาพยนตร์เรื่อง สึนามิ ไปขายในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้ขณะนี้มีบริษัทสร้างภาพยนตร์จาก 3 ประเทศให้ความสนใจที่จะเข้ามาใช้บริการในสตูดิโอดังกล่าวในปีนี้แล้ว คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง รวมถึงอินเดียอีกประเทศหนึ่งด้วย ซึ่งหากบริษัทในประเทศเหล่านี้ต้องการใช้โลเคชั่นอื่นๆ นอกเหนือจากในสตูดิโอ เราก็พร้อมบริการเจรจาอำนวยความสะดวกติดต่อประสานงานให้
ส่วนพันธมิตรในประเทศไทย ได้มีการเจรจาพูดคุยไว้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นทางสหมงคลฟิล์ม, ไรท์ บิยอนด์ และทางไฟว์สตาร์
สำหรับในส่วนความคืบหน้าในการก่อสร้างนั้น ขณะนี้ทำได้แล้วกว่า 10-20% ซึ่งเป็นการก่อสร้างแบบทั้งวันทั้งคืน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างฉากต่างๆสำหรับภาพยนตร์ 3-5 เรื่องที่เตรียมฉายในปีนี้ และเพื่อให้ทันตามแผนที่วางไว้ว่า ภายใน 3 ปี สตูดิโอแห่งนี้ จะเสร็จสมบูรณ์ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการที่เศรษฐกิจค่อนข้างหดตัว ส่งผลให้เรื่องของต้นทุนด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% ทำให้บริษัทฯต้องเร่งการก่อสร้างมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างของงาน มีการลดยูนิตการก่อสร้างลงบางส่วน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างที่ออกมาจะต้องเป็นไปตามแบบที่วางไว้
ส่วนการลงทุนผลิตภาพยนตร์ในปีนี้ที่วางไว้ 3-5 เรื่องนั้น ภายใต้บริษัท ทเว็นตี้ จูน เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด มั่นใจว่า ปีนี้จะมีการเปิดตัวฉายภาพยนตร์ได้ทั้งหมด 3 เรื่อง คือ 1.สึนามิ ซึ่งใช้งบลงทุนไปกว่า 150 ล้านบาท คาดว่า จะมีรายได้ในการขายในต่างประเทศถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2.“เบบี้” ทารกเขย่าโลก ที่ใช้งบลงทุนไปกว่า 60 ล้านบาท และ 3. สงครามยาบ้า มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัดตอน 2,000 ศพ ซึ่งใช้งบลงทุน 60 ล้านบาทเช่นกัน โดยเนื้อหาภาพยนตร์ที่สร้างส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องกลางๆ ที่เป็นสากล ทั้งนี้ เพื่อสะดวกต่อการขายในต่างประเทศด้วย
นายทรนง กล่าวต่อว่า รายได้ที่คาดว่าจะได้ในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาทนั้น มาจากภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องเป็นหลัก รวมถึงในส่วนของการพัฒนาที่ดินบางส่วน เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง หรืออาจจะบวกลบที่ 10-20% เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ที่อาจส่งผลให้บริษัทสร้างภาพยนตร์จากทั่วโลก หันไปใช้โลเกชันในประเทศเพื่อนบ้านแทน
นายทรนง ศรีเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเว็นตี้ จูน เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการเปิดตัวโครงการก่อสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ ที่คลุมพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ไปเมื่อช่วงปลายปี 2550 ที่ผ่านมา ความคืบหน้าล่าสุดในขณะนี้ ทางบริษัทได้มีการทำหนังสือไปยังทาง BOI เพื่อขอส่งเสริมการลงทุน คาดว่า อีก 4-5 เดือนน่าจะเรียบร้อย เพราะทาง BOI เองก็ได้ให้ความสนใจที่จะร่วมสนับสนุนอยู่แล้ว
“หากภาครัฐให้การสนับสนุนและเห็นถึงความสำคัญของโรงถ่ายดังกล่าว การที่จะทำให้โรงถ่ายแห่งนี้ พัฒนาสู่ภาคนิคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ในอนาคต คงไม่ยากอีกต่อไป ซึ่งมองว่าเมื่อถึงเวลานั้น สถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทได้แน่ ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว หรือเป็นโรงถ่ายระดับโลกที่หลายบริษัทจากทั่วโลก พร้อมที่จะเข้ามาใช้บริการ จากความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เรามอบให้ รวมถึงติดต่อประสานงาน หากต้องการที่จะใช้โลเกชันอื่นๆ นอกเหนือจากในสตูดิโอนี้ด้วย”
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการร่วมจัดโรดโชว์โปรโมตโรงถ่ายดังกล่าว พร้อมกับนำเสนอภาพยนตร์เรื่อง สึนามิ ไปขายในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้ขณะนี้มีบริษัทสร้างภาพยนตร์จาก 3 ประเทศให้ความสนใจที่จะเข้ามาใช้บริการในสตูดิโอดังกล่าวในปีนี้แล้ว คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง รวมถึงอินเดียอีกประเทศหนึ่งด้วย ซึ่งหากบริษัทในประเทศเหล่านี้ต้องการใช้โลเคชั่นอื่นๆ นอกเหนือจากในสตูดิโอ เราก็พร้อมบริการเจรจาอำนวยความสะดวกติดต่อประสานงานให้
ส่วนพันธมิตรในประเทศไทย ได้มีการเจรจาพูดคุยไว้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นทางสหมงคลฟิล์ม, ไรท์ บิยอนด์ และทางไฟว์สตาร์
สำหรับในส่วนความคืบหน้าในการก่อสร้างนั้น ขณะนี้ทำได้แล้วกว่า 10-20% ซึ่งเป็นการก่อสร้างแบบทั้งวันทั้งคืน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างฉากต่างๆสำหรับภาพยนตร์ 3-5 เรื่องที่เตรียมฉายในปีนี้ และเพื่อให้ทันตามแผนที่วางไว้ว่า ภายใน 3 ปี สตูดิโอแห่งนี้ จะเสร็จสมบูรณ์ และอีกส่วนหนึ่งมาจากการที่เศรษฐกิจค่อนข้างหดตัว ส่งผลให้เรื่องของต้นทุนด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% ทำให้บริษัทฯต้องเร่งการก่อสร้างมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างของงาน มีการลดยูนิตการก่อสร้างลงบางส่วน แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างที่ออกมาจะต้องเป็นไปตามแบบที่วางไว้
ส่วนการลงทุนผลิตภาพยนตร์ในปีนี้ที่วางไว้ 3-5 เรื่องนั้น ภายใต้บริษัท ทเว็นตี้ จูน เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด มั่นใจว่า ปีนี้จะมีการเปิดตัวฉายภาพยนตร์ได้ทั้งหมด 3 เรื่อง คือ 1.สึนามิ ซึ่งใช้งบลงทุนไปกว่า 150 ล้านบาท คาดว่า จะมีรายได้ในการขายในต่างประเทศถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2.“เบบี้” ทารกเขย่าโลก ที่ใช้งบลงทุนไปกว่า 60 ล้านบาท และ 3. สงครามยาบ้า มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัดตอน 2,000 ศพ ซึ่งใช้งบลงทุน 60 ล้านบาทเช่นกัน โดยเนื้อหาภาพยนตร์ที่สร้างส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องกลางๆ ที่เป็นสากล ทั้งนี้ เพื่อสะดวกต่อการขายในต่างประเทศด้วย
นายทรนง กล่าวต่อว่า รายได้ที่คาดว่าจะได้ในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาทนั้น มาจากภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องเป็นหลัก รวมถึงในส่วนของการพัฒนาที่ดินบางส่วน เชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง หรืออาจจะบวกลบที่ 10-20% เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ที่อาจส่งผลให้บริษัทสร้างภาพยนตร์จากทั่วโลก หันไปใช้โลเกชันในประเทศเพื่อนบ้านแทน