ไฮเออร์ตื่น วางหมากปรับโพซิชั่นนิ่ง สู่พรีเมี่ยมแบรนด์ ชูสินค้าพรีเมี่ยมผ่านรูปแบบการตลาดขายความเป็นไลฟ์สไตล์ หวังเปลี่ยนความคิดคนไทย ปั่นศึกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มไวท์กู้ด ตั้งเป้าติดท็อปไฟว์ ใน 3 ปีนี้ ล่าสุดเทอีก 100 กว่าล้านบาท ขยายไลน์ผลิตเครื่องปรับอากาศ มั่นใจสิ้นปียอดขายโตอีก 20% คิดเป็นมูลค่าถึง 7,500 ล้านบาท
นายทวีศักดิ์ เกรียงไกรเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการเปิดตัวและเข้ามาทำตลาดในไทยได้ประมาณ ปีกว่า ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯเป็นที่รู้จักในกลุ่มต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ หรือทั้งปีมีรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งออก 70% และจำหน่ายในประเทศเพียง 30% จากฐานการผลิตสินค้าที่โรงงานในอำเภอ กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กับ 3 กลุ่มสินค้าที่ผลิต คือ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า
ล่าสุดปีนี้ทางบริษัทฯได้วางแผนการการทำตลาดใหม่ ด้วยงบประมาณตลาดกว่า 120 ล้านบาท เน้นสร้างแบรนด์สู่ความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ ชูสินค้าที่มีความเป็นพรีเมี่ยม มีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย แตกต่าง รวมถึงดีไซน์ที่ดูเป็นพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ นอกจากนี้ยังมีการใช้กลยุทธ์มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่น เน้นทางด้านบีโลว์ เดอะ ไลน์ สื่อสารไปยังผู้บริโภคให้รับทราบถึงความเป็นไฮเออร์ ว่าเป็นเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่จะชูเรื่องของไลฟ์สไตล์ และการจัดดิสเพลย์ใหม่ให้เห็นถึงความเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ด้วย
ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายนั้น จะเน้นกลุ่มดีลเลอร์ที่มีอยู่กว่า 200-300 รายทั่วประเทศ ให้มีประสิทธิภาพในการจำหน่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนช่องทางขายในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ปีนี้ได้ร่วมกับทางกลุ่ม เดอะ มอลล์ ในการเข้าไปวางจำหน่ายสินค้าอีกช่องทางหนึ่งด้วย ล่าสุดได้มีการเปิดตัวสินค้าระดับพรีเมี่ยม ที่ พาวเวอร์มอลล์ สยามพารากอน ด้วย คาดว่าจะทำให้ความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ ได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคต่อไป
สำหรับราคาในการจำหน่ายสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมนี้ ยอมรับว่าถึงจะชูความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ แต่เมื่อเทียบกับพรีเมี่ยมแบรนด์อื่นๆแล้ว ถือว่ายังเป็นราคาที่จำหน่ายใกล้เคียงกัน ขณะที่ในจีน ไฮเออร์ เป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ที่จำหน่ายสูงกว่าแบรนด์ยุโรปมากกว่า 10-20% ส่วนในประเทศไทย อยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมและเริ่มทำตลาดพรีเมี่ยม ดังนั้นขณะนี้ สินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่าย มีเพียง 10% ที่จัดอยู่ในระดับพรีเมี่ยม และกว่า 90% ยังเป็นระดับแมส
ทั้งนี้คาดว่า จากการสร้างแบรนด์สู่ความเป็นพรีเมี่ยมครั้งนี้ สัดส่วนรายได้กว่า 60% จะยังคงมาจากต่างจังหวัด เท่ากับปีก่อน และ 40% มาจากกรุงเทพฯ เนื่องจากสินค้าพรีเมี่ยม ยังเป็นสินค้าที่ขายได้ยาก นอกจากนี้สินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมยังมีเพียง 10% ของสินค้าทั้งหมดด้วย
อย่างไรก็ตามปีนี้ทางบริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณอีกไม่ต่ำกว่า 100 กว่าล้านบาท สำหรับเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยในขณะนี้เดินหน้ากำลังการผลิตไปบางส่วนแล้ว และมีวางจำหน่ายบ้างแล้ว คาดว่าปีหน้าจะสามารถผลิตได้เต็มกำลัง
นอกจากนี้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลก จากการที่ไฮเออร์ ประเทศจีน ได้ร่วมเป็นโลคอลสปอนเซอร์ ทางบริษัทฯจะมีการจัดแคมเปญร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้รับรู้ อีกส่วนหนึ่งเพื่อจะเป็นการสื่อสารเกี่ยวกับ การจำหน่ายสินค้าใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา จากเดิมขณะนี้ มีสินค้าวางจำหน่ายทั้งสิ้น 4 กลุ่ม คือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และตู้แช่ หรือทั้งปีคาดว่าน่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นอีก 20% คิดเป็นรายได้รวมกว่า 7,500 ล้านบาท โดยสัดส่วนส่งออกยังอยู่ที่ 70% และในประเทศอีก 30%
นายทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า การสร้างแบรนด์ใหม่นี้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าคนไทยจะเปลี่ยนทัศนะคติได้ อแต่ย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากนี้ ไฮเออร์ตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็น 1 ใน 5 ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้
นายทวีศักดิ์ เกรียงไกรเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการเปิดตัวและเข้ามาทำตลาดในไทยได้ประมาณ ปีกว่า ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯเป็นที่รู้จักในกลุ่มต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ หรือทั้งปีมีรายได้กว่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่งออก 70% และจำหน่ายในประเทศเพียง 30% จากฐานการผลิตสินค้าที่โรงงานในอำเภอ กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี กับ 3 กลุ่มสินค้าที่ผลิต คือ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า
ล่าสุดปีนี้ทางบริษัทฯได้วางแผนการการทำตลาดใหม่ ด้วยงบประมาณตลาดกว่า 120 ล้านบาท เน้นสร้างแบรนด์สู่ความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ ชูสินค้าที่มีความเป็นพรีเมี่ยม มีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย แตกต่าง รวมถึงดีไซน์ที่ดูเป็นพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ นอกจากนี้ยังมีการใช้กลยุทธ์มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่น เน้นทางด้านบีโลว์ เดอะ ไลน์ สื่อสารไปยังผู้บริโภคให้รับทราบถึงความเป็นไฮเออร์ ว่าเป็นเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่จะชูเรื่องของไลฟ์สไตล์ และการจัดดิสเพลย์ใหม่ให้เห็นถึงความเป็นพรีเมี่ยมโปรดักส์ด้วย
ในส่วนของช่องทางการจำหน่ายนั้น จะเน้นกลุ่มดีลเลอร์ที่มีอยู่กว่า 200-300 รายทั่วประเทศ ให้มีประสิทธิภาพในการจำหน่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนช่องทางขายในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ปีนี้ได้ร่วมกับทางกลุ่ม เดอะ มอลล์ ในการเข้าไปวางจำหน่ายสินค้าอีกช่องทางหนึ่งด้วย ล่าสุดได้มีการเปิดตัวสินค้าระดับพรีเมี่ยม ที่ พาวเวอร์มอลล์ สยามพารากอน ด้วย คาดว่าจะทำให้ความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ ได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคต่อไป
สำหรับราคาในการจำหน่ายสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมนี้ ยอมรับว่าถึงจะชูความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ แต่เมื่อเทียบกับพรีเมี่ยมแบรนด์อื่นๆแล้ว ถือว่ายังเป็นราคาที่จำหน่ายใกล้เคียงกัน ขณะที่ในจีน ไฮเออร์ เป็นพรีเมี่ยมแบรนด์ที่จำหน่ายสูงกว่าแบรนด์ยุโรปมากกว่า 10-20% ส่วนในประเทศไทย อยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมและเริ่มทำตลาดพรีเมี่ยม ดังนั้นขณะนี้ สินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่าย มีเพียง 10% ที่จัดอยู่ในระดับพรีเมี่ยม และกว่า 90% ยังเป็นระดับแมส
ทั้งนี้คาดว่า จากการสร้างแบรนด์สู่ความเป็นพรีเมี่ยมครั้งนี้ สัดส่วนรายได้กว่า 60% จะยังคงมาจากต่างจังหวัด เท่ากับปีก่อน และ 40% มาจากกรุงเทพฯ เนื่องจากสินค้าพรีเมี่ยม ยังเป็นสินค้าที่ขายได้ยาก นอกจากนี้สินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมยังมีเพียง 10% ของสินค้าทั้งหมดด้วย
อย่างไรก็ตามปีนี้ทางบริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณอีกไม่ต่ำกว่า 100 กว่าล้านบาท สำหรับเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยในขณะนี้เดินหน้ากำลังการผลิตไปบางส่วนแล้ว และมีวางจำหน่ายบ้างแล้ว คาดว่าปีหน้าจะสามารถผลิตได้เต็มกำลัง
นอกจากนี้ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลก จากการที่ไฮเออร์ ประเทศจีน ได้ร่วมเป็นโลคอลสปอนเซอร์ ทางบริษัทฯจะมีการจัดแคมเปญร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้รับรู้ อีกส่วนหนึ่งเพื่อจะเป็นการสื่อสารเกี่ยวกับ การจำหน่ายสินค้าใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา จากเดิมขณะนี้ มีสินค้าวางจำหน่ายทั้งสิ้น 4 กลุ่ม คือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และตู้แช่ หรือทั้งปีคาดว่าน่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นอีก 20% คิดเป็นรายได้รวมกว่า 7,500 ล้านบาท โดยสัดส่วนส่งออกยังอยู่ที่ 70% และในประเทศอีก 30%
นายทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า การสร้างแบรนด์ใหม่นี้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าคนไทยจะเปลี่ยนทัศนะคติได้ อแต่ย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากนี้ ไฮเออร์ตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็น 1 ใน 5 ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ได้