พรีม่าไทมส์ ดึง ดิ อาวเวอร์กลาส ผุดบริษัทร่วมทุนใหม่ ทำตลาดนาฬิกาพรีเมียมในไทย ชี้ ตลดาไทยยังมีศักยภาพ หลังทั้งคู่เติบโตกว่า 35% ก่อนหน้าร่วมหอลงโรงกัน
นายณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มที ดิ อาวเวอร์กลาส จำกัด กล่าวว่า บริษัทดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัท พรีม่าไทมส์ จำกัด ของไทยในเครือบลูริเวอร์ คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 50% และบริษัท ดิ อาวเวอร์กลาส จำกัด ถือหุ้น 50% เพื่อบริหารจัดการ ทำตลาด ลงทุน และนำเข้า นาฬิการะดับไฮเอนด์เข้ามาจำหน่ายในไทย
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ตลาดนาฬิการะดับพรีเมียมที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ มีการเติบโตสูง เป็นประเทศที่นำเข้านาฬิกาจากสวิสอันดับที่ 13 ของโลก มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 25% ซึ่งมากเหมือนกับประเทศ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อีกทั้งภาษีนำเข้านาฬิกาเหลือ 5% ซึ่งถือว่าต่ำมากทำให้โอกาสในการขายมีมากด้วย และการรวมตัวกันทำให้ศักยภาพแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากการรวมกันจะทำให้บริษัทใหม่มีนาฬิกาที่ทำตลาดมากกว่า 22 แบรนด์ (เดิมเป็นของพรีม่าไทมส์ 7 แบรนด์ ทีเอชจีประมาณ 20 กว่าแบรนด์ ซึ่งมีบางแบรนด์ที่ซ้ำกัน) เช่น โรเล็กซ์ ปาเต๊ะฟิลิป ออเดอร์มาร์ ปิเก โชพาร์ด จาเกอร์เลอคูต ทิวดอร์ เป็นต้น และล่าสุดคือ ริชาร์ดมิลล์ และ ฟิลิปส์สไตล์ ที่ผ่านมาก่อนการรวมตัวแต่ละบริษัทมียอดขายเติบโตกว่า 35%
ปัจจุบันมีช่องทางจำหน่าย คือ พีเอ็มทีดิอาวเวอร์กลาส เป็นแบบมัลติแบรนด์ที่ขายหลายยี่ห้อและร้านโชพาร์ดบูติกที่สยามพารากอน และผ่านห้างสรรพสินค้าที่เซ็นทรัลชิดลมและเซน ซึ่งมีฐานลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวอย่างละ 50% และมีแผนจะขยายช่องทางห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย
นายไมเคิล เทย์ ประธานพีเอ็มที ดิ อาวเวอร์กลาส กล่าวว่า โดยปกติแล้ว ดิ อาวเวอร์กลาส หรือ ทีเอชจี จะทำตลาดและจัดจำหน่ายเองในแต่ละประเทศ มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่เป็นที่เข้ามาร่วมทุนกับคนท้องถิ่นเป็นประเทศแรก เนื่องจากศักยภาพของตลาดที่ดี และมั่นคง มีกลุ่มนักสะสมจำนวนมาก เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทีเอชจีเติบโตมากกว่า 25% ซึ่งไทยกับจีนเป็นตลาดใหญ่ในเอเชียของนาฬิกาจากสวิส
นายณรัณ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มที ดิ อาวเวอร์กลาส จำกัด กล่าวว่า บริษัทดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัท พรีม่าไทมส์ จำกัด ของไทยในเครือบลูริเวอร์ คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 50% และบริษัท ดิ อาวเวอร์กลาส จำกัด ถือหุ้น 50% เพื่อบริหารจัดการ ทำตลาด ลงทุน และนำเข้า นาฬิการะดับไฮเอนด์เข้ามาจำหน่ายในไทย
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ตลาดนาฬิการะดับพรีเมียมที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ มีการเติบโตสูง เป็นประเทศที่นำเข้านาฬิกาจากสวิสอันดับที่ 13 ของโลก มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 25% ซึ่งมากเหมือนกับประเทศ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน อีกทั้งภาษีนำเข้านาฬิกาเหลือ 5% ซึ่งถือว่าต่ำมากทำให้โอกาสในการขายมีมากด้วย และการรวมตัวกันทำให้ศักยภาพแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากการรวมกันจะทำให้บริษัทใหม่มีนาฬิกาที่ทำตลาดมากกว่า 22 แบรนด์ (เดิมเป็นของพรีม่าไทมส์ 7 แบรนด์ ทีเอชจีประมาณ 20 กว่าแบรนด์ ซึ่งมีบางแบรนด์ที่ซ้ำกัน) เช่น โรเล็กซ์ ปาเต๊ะฟิลิป ออเดอร์มาร์ ปิเก โชพาร์ด จาเกอร์เลอคูต ทิวดอร์ เป็นต้น และล่าสุดคือ ริชาร์ดมิลล์ และ ฟิลิปส์สไตล์ ที่ผ่านมาก่อนการรวมตัวแต่ละบริษัทมียอดขายเติบโตกว่า 35%
ปัจจุบันมีช่องทางจำหน่าย คือ พีเอ็มทีดิอาวเวอร์กลาส เป็นแบบมัลติแบรนด์ที่ขายหลายยี่ห้อและร้านโชพาร์ดบูติกที่สยามพารากอน และผ่านห้างสรรพสินค้าที่เซ็นทรัลชิดลมและเซน ซึ่งมีฐานลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวอย่างละ 50% และมีแผนจะขยายช่องทางห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย
นายไมเคิล เทย์ ประธานพีเอ็มที ดิ อาวเวอร์กลาส กล่าวว่า โดยปกติแล้ว ดิ อาวเวอร์กลาส หรือ ทีเอชจี จะทำตลาดและจัดจำหน่ายเองในแต่ละประเทศ มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่เป็นที่เข้ามาร่วมทุนกับคนท้องถิ่นเป็นประเทศแรก เนื่องจากศักยภาพของตลาดที่ดี และมั่นคง มีกลุ่มนักสะสมจำนวนมาก เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทีเอชจีเติบโตมากกว่า 25% ซึ่งไทยกับจีนเป็นตลาดใหญ่ในเอเชียของนาฬิกาจากสวิส
