อังกฤษตรางู รุกตลาดสบู่กลุ่มเฮลท์ตี้ ทุ่ม 80 ล้านบาท ลอนช์สินค้าใหม่ ชูสบู่และครีมอาบน้ำ บาลานซิ่ง คูล ตรางู หวังปีแรกมีแชร์ 7% มั่นใจดันรายได้รวมโตอีก 5% จาก 900-1,000 ล้านบาทในปีก่อน พร้อมขยายตลาดส่งออก
นายสมชาย นิธิเสถียรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขายภายในประเทศ บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด เปิดเผยว่า ในกลุ่มอังกฤษตรางู มีการทำตลาดอยู่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ แป้งเย็นตรางู และสบู่ตรางู โดยในส่วนของแป้งเย็นตรางูได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็นสินค้าหลักของการสร้างรายได้ ส่วนสบู่ตรางูนั้น ที่ผ่านมามีรายได้เพียง 5-6 ล้านบาทเท่านั้น
ล่าสุด บริษัทฯได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ สบู่และครีมอาบน้ำ บาลานซิ่ง คูล ตรางู (Snake Brand Balancing Cool Hygienic Body Wash) โดยวางโพซิชั่นนิ่งสินค้าไว้ในกลุ่มสบู่เพื่อสุขภาพ หรือ เฮลท์ตี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายในระดับซีบวกขึ้นไป และเป็นคนที่อยู่ในกรุงเทพฯเป็นหลัก คาดว่าปีนี้น่าจะสร้างรายได้ให้ 90 ล้านบาท หรือมีแชร์ในตลาดได้ประมาณ 7% ซึ่งหวังว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 15% จากเดิมที่บริษัทฯมีสบู่ตรางูอยู่ในตลาดนี้อยู่แล้ว แต่มีรายได้ต่อปีเพียง 5-6 ล้านบาทเท่านั้น หลังจากส่งสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดนี้แล้ว บริษัทฯจึงได้มีหยุดผลิตสบู่ตรางูลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดรวมสบู่มูลค่า 5,800 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโต 3% ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ตลาดสบู่ก้อน 3,700 ล้านบาท โดยแยกเป็นสบู่ก้อนเพื่อความงาม 60% สบู่ก้อนเพื่อสุขภาพ 30% สบู่ก้อนเด็ก 10% ส่วนสบู่เหลวมีมูลค่าตลาด 2,100 ล้านบาท แยกเป็น สบู่เหลวเพื่อความงาม 70% สบู่เหลวเพื่อสุขภาพ 13% สบู่เหลวเด็กอีก 17%
ในส่วนของผลิตภัณฑ์แป้งเย็นตรางู หลังจากที่ได้มีการทำการตลาดอย่างจริงจังตั้งแต่ปี2547 จากที่มีส่วนแบ่งในกลุ่มตลาดแป้งเย็น 18% ปีที่ผ่านมาสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้เป็น23% โดยในปีนี้ทางบริษัทฯยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแป้งเย็นอยู่ จากเม็ดเงินทางการตลาดรวมกว่า 250 ล้านบาท จะใช้กับแป้งเย็นกว่า 170 ล้านบาท และใช้กับ สบู่และครีมอาบน้ำ บาลานซิ่ง คูล ตรางู 80 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งงบประมาณดังกล่าวใช้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่จะใช้กับแป้งเย็นเท่านั้น
ทั้งนี้เชื่อว่าปีนี้ บริษัทฯจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้นประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่า 900-1,000 ล้านบาทโดยแบ่งเป็น จำหน่ายในประเทศ 700 ล้านบาท ต่างประเทศ 150 ล้านบาท และโออีเอ็มอีก 100 ล้านบาท จากเดิมปีก่อนมีรายได้เพียง 800 ล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนต่างประเทศนั้น จากเดิมที่ส่งออกไปยัง จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ปีนี้จะขยายต่อยังประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วย
นายสมชาย นิธิเสถียรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขายภายในประเทศ บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด เปิดเผยว่า ในกลุ่มอังกฤษตรางู มีการทำตลาดอยู่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ แป้งเย็นตรางู และสบู่ตรางู โดยในส่วนของแป้งเย็นตรางูได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็นสินค้าหลักของการสร้างรายได้ ส่วนสบู่ตรางูนั้น ที่ผ่านมามีรายได้เพียง 5-6 ล้านบาทเท่านั้น
ล่าสุด บริษัทฯได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ สบู่และครีมอาบน้ำ บาลานซิ่ง คูล ตรางู (Snake Brand Balancing Cool Hygienic Body Wash) โดยวางโพซิชั่นนิ่งสินค้าไว้ในกลุ่มสบู่เพื่อสุขภาพ หรือ เฮลท์ตี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายในระดับซีบวกขึ้นไป และเป็นคนที่อยู่ในกรุงเทพฯเป็นหลัก คาดว่าปีนี้น่าจะสร้างรายได้ให้ 90 ล้านบาท หรือมีแชร์ในตลาดได้ประมาณ 7% ซึ่งหวังว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 15% จากเดิมที่บริษัทฯมีสบู่ตรางูอยู่ในตลาดนี้อยู่แล้ว แต่มีรายได้ต่อปีเพียง 5-6 ล้านบาทเท่านั้น หลังจากส่งสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดนี้แล้ว บริษัทฯจึงได้มีหยุดผลิตสบู่ตรางูลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดรวมสบู่มูลค่า 5,800 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโต 3% ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น ตลาดสบู่ก้อน 3,700 ล้านบาท โดยแยกเป็นสบู่ก้อนเพื่อความงาม 60% สบู่ก้อนเพื่อสุขภาพ 30% สบู่ก้อนเด็ก 10% ส่วนสบู่เหลวมีมูลค่าตลาด 2,100 ล้านบาท แยกเป็น สบู่เหลวเพื่อความงาม 70% สบู่เหลวเพื่อสุขภาพ 13% สบู่เหลวเด็กอีก 17%
ในส่วนของผลิตภัณฑ์แป้งเย็นตรางู หลังจากที่ได้มีการทำการตลาดอย่างจริงจังตั้งแต่ปี2547 จากที่มีส่วนแบ่งในกลุ่มตลาดแป้งเย็น 18% ปีที่ผ่านมาสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้เป็น23% โดยในปีนี้ทางบริษัทฯยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแป้งเย็นอยู่ จากเม็ดเงินทางการตลาดรวมกว่า 250 ล้านบาท จะใช้กับแป้งเย็นกว่า 170 ล้านบาท และใช้กับ สบู่และครีมอาบน้ำ บาลานซิ่ง คูล ตรางู 80 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งงบประมาณดังกล่าวใช้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่จะใช้กับแป้งเย็นเท่านั้น
ทั้งนี้เชื่อว่าปีนี้ บริษัทฯจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้นประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่า 900-1,000 ล้านบาทโดยแบ่งเป็น จำหน่ายในประเทศ 700 ล้านบาท ต่างประเทศ 150 ล้านบาท และโออีเอ็มอีก 100 ล้านบาท จากเดิมปีก่อนมีรายได้เพียง 800 ล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนต่างประเทศนั้น จากเดิมที่ส่งออกไปยัง จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ปีนี้จะขยายต่อยังประเทศเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วย