เนสท์เล่ ทุ่ม 100 ล้าน รุกตลาดน้ำดื่ม ทั้งบีโลว์เดอะไลน์ อะโบฟเดอะไลน์ ชี้เทรนด์ผู้บริโภคซื้อกลับบ้านเฟื่อง ชูช่องโมเดิร์นเทรดหลีกคู่แข่งขัน
นายประหยัด อนุชิราชีวะ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่เพียวไลฟ์ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2551 ว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้รุกตลาดทั้งการทำประชาสัมพันธ์ การปรับภาพลักษณ์สินค้า การทำแคมเปญ และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับร้านค้าและกิจกรรมตรงกับผู้บริโภค
โดยชูแนวคิด “Emotional Marketing” ประกอบด้วย กลยุทธ์การตลาดทั้งแบบอะโบฟเดอะไลน์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่พร้อมกัน 3 เรื่อง และบีโลว์เดอะไลน์ที่เน้นในการทำแคมเปญในแง่ของการส่งเสริมการขาย ซึ่งยังคงสานต่อนโยบายเชิงรุกเพื่อสร้างการรับรู้ในสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 80%
ในส่วนของการกระจายสินค้านั้น จะมุ้งเน้นไปที่การขยายฐานสู่กลุ่มครอบครัวและกลุ่มซื้อกลับบ้านผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านค้าใกล้บ้านโดยคิดเป็นสัดส่วน 20% จากจำนวนช่องทางทั้งหมดในกรุงเทพฯ ซึ่งเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มในการซื้อกลับบ้านมากขึ้น ซึ่งประเภทสินค้าที่ขายดีจะอยู่ที่ขนาด 1.5-6 ลิตร
สำหรับส่วนในตลาดต่างจังหวัดนั้น การกระจายผ่านโมเดิร์นเทรดกับร้านค้านั้น สามารถทำได้ยาก เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคจะใช้ราคาเป็นตัววัดการตัดสินใจซื้อมากกว่าคุณภาพ และความรู้สึก ซึ่งคู่แข่งขันเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มที่อยู่ตามร้านอาหารและเพื่อเป็นการต่อยอดในช่องทางโมเดิร์นเทรดที่ทางเนสท์เล่เป็นเบอร์ 1 อยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ ตลาดน้ำดื่มเพื่อบริโภคในปัจจุบันมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 4% โดยในแง่ของรายได้นั้นทางเนสท์เล่ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 30-40% ไล่เลี่ยกับปีที่ผ่านมา โดยยังคงมุ่งไปที่บรรจุภัณท์ขนาดใหญ่ 6 ลิตร 40% ขนาด 1.5 ลิตร 30% และขนาด 0.6 ลิตร 30%
นายประหยัด อนุชิราชีวะ กรรมการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่เพียวไลฟ์ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2551 ว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้รุกตลาดทั้งการทำประชาสัมพันธ์ การปรับภาพลักษณ์สินค้า การทำแคมเปญ และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับร้านค้าและกิจกรรมตรงกับผู้บริโภค
โดยชูแนวคิด “Emotional Marketing” ประกอบด้วย กลยุทธ์การตลาดทั้งแบบอะโบฟเดอะไลน์ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่พร้อมกัน 3 เรื่อง และบีโลว์เดอะไลน์ที่เน้นในการทำแคมเปญในแง่ของการส่งเสริมการขาย ซึ่งยังคงสานต่อนโยบายเชิงรุกเพื่อสร้างการรับรู้ในสินค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 80%
ในส่วนของการกระจายสินค้านั้น จะมุ้งเน้นไปที่การขยายฐานสู่กลุ่มครอบครัวและกลุ่มซื้อกลับบ้านผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านค้าใกล้บ้านโดยคิดเป็นสัดส่วน 20% จากจำนวนช่องทางทั้งหมดในกรุงเทพฯ ซึ่งเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มในการซื้อกลับบ้านมากขึ้น ซึ่งประเภทสินค้าที่ขายดีจะอยู่ที่ขนาด 1.5-6 ลิตร
สำหรับส่วนในตลาดต่างจังหวัดนั้น การกระจายผ่านโมเดิร์นเทรดกับร้านค้านั้น สามารถทำได้ยาก เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคจะใช้ราคาเป็นตัววัดการตัดสินใจซื้อมากกว่าคุณภาพ และความรู้สึก ซึ่งคู่แข่งขันเป็นผู้นำตลาดน้ำดื่มที่อยู่ตามร้านอาหารและเพื่อเป็นการต่อยอดในช่องทางโมเดิร์นเทรดที่ทางเนสท์เล่เป็นเบอร์ 1 อยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ ตลาดน้ำดื่มเพื่อบริโภคในปัจจุบันมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 4% โดยในแง่ของรายได้นั้นทางเนสท์เล่ตั้งเป้าเติบโตขึ้น 30-40% ไล่เลี่ยกับปีที่ผ่านมา โดยยังคงมุ่งไปที่บรรจุภัณท์ขนาดใหญ่ 6 ลิตร 40% ขนาด 1.5 ลิตร 30% และขนาด 0.6 ลิตร 30%
