“โซนี่ บีเอ็มจี ไทยแลนด์” ถูกโกลบอลวางตำแหน่งให้มีพัฒนาธุรกิจเพลงรูปแบบใหม่ งัดกลยุทธ์ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง จับมือ ค่ายเพลง เลิฟอิส และ ทาทา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ พร้อมสนองนโยบายทั่วโลก มั่นใจก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในตลาดเพลง เร็วๆ นี้
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซนี่ บีเอ็มจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ โซนี่ บีเอ็มจี ระดับโกลบอล ให้ความสำคัญกับตลาดเพลงในประเทศไทยว่า เหมาะแก่การพัฒนาธุรกิจเพลงในรูปแบบใหม่ๆ เนื่องจากคนไทยมีนิสัยพื้นฐานที่เปิดรับในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาธุรกิจออกมาแล้ว โซนี่ ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้
ล่าสุด ทางบริษัทได้นำกลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง มาใช้ โดยร่วมกับ 2 บริษัท คือ ค่ายเพลง เลิฟอิส เมื่อช่วงปลายปี 2550 โดยทาง โซนี่ บีเอ็มจี จะรับผิดชอบกระบวนการผลิต การจัดจำหน่ายและวางแผนการตลาดผ่านสื่อต่างๆ ขณะที่ค่ายเลิฟอิสจะดูแลด้านโปรดักชันทั้งหมด นอกจากนี้ ที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมกับ บริษัท ทาทา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลและบริหารงานต่างๆ ให้กับ ทาทา ยัง โดยทำงานร่วมกันมากว่า 4 อัลบั้มแล้ว ซึ่งอัลบั้มต่อไปก็ยังร่วมงานกันอยู่ โดยจะมีการออกอัลบั้มใหม่ ชื่อ วัน เลิฟ ขายวันที่ 6 มีนาคมนี้
“พันธมิตรอย่างค่ายเลิฟอิสเป็นค่ายเพลงคนไทยมีเพลงระดับคุณภาพ หรือแม้แต่ ทาทา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งมี ทาทา ยัง ที่เป็นนักร้องคนไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก จะเป็นความได้เปรียบในอนาคต ที่ผู้ฟังคนไทยจะต้องเปลี่ยนทัศนะคติของโซนี่ บีเอ็มจี จากค่ายเพลงต่างประเทศ ที่จะเข้าถึงกลุ่มคนไทยได้มากขึ้น จากการที่มีการทำตลาดให้กับนักร้องคนไทยของทั้ง 2 บริษัทนี้”
อีกทั้งจะมีการนำเอากลยุทธ์ ซีเอสอาร์ มาดันรายได้อีกทางหนึ่งด้วย หลังจากที่พบว่าในปีก่อนมีหลายบริษัทที่เริ่มโครงการซีเอสอาร์มากมาย แต่ยังมีบางส่วนที่อยากทำซีเอสอาร์ มาร์เก็ตติ้ง แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากขาดเครื่องมือที่สำคัญ คือ เพลง ดังนั้น โซนี่ บีเอ็มจี จะมีการทำโครงการด้านซีเอสอาร์ โดยจะนำเอา คอนเทนต์เพลงที่มีอยู่ มานำเป็นเครื่องมือให้กับพันธมิตรที่สนใจทำซีเอสอาร์ มารเก็ตติ้ง นี้ คาดว่า จะมีอย่างน้อย 10 โครงการ ซึ่งซีเอสอาร์ ที่ทางบริษัทจะนำมาใช้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ที่บริษัทคาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 25%
ทั้งนี้ มั่นใจว่า ระยะอันใกล้นี้ โซนี่ บีเอ็มจี จะมีขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดเพลงในประเทศไทยได้ จากเดิมในปีก่อน ผู้นำตลาดเพลงของไทย คือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีแชร์ 64% อันดับสอง คือ อาร์เอส มีแชร์ 24% และ โซนี่ บีเอ็มจี รั้งอันดับสาม ประมาณ 10%
“แม้แนวโน้มตลาดเพลงทั่วโลกและในไทยจะเติบโตน้อยลง เนื่องจากตลาดเพลงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น กับช่องทางใหม่ที่สามารถรับฟังเพลงได้สะดวกกว่าเดิม ซึ่งปีที่ผ่านมาตลาดเพลงของไทยเองเติบโตลดลง 15-20% แต่ โซนี่ บีเอ็มจี กลับมีรายได้เติบโตมากกว่าตลาดที่ 25-27% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากความแข็งแกร่งด้านเพลง ที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ แทนการหาช่องทางหารายได้ใหม่ๆ ทดแทน ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนำเอาคอนเท้นท์เพลง ไปต่อยอดสร้างรายได้ในส่วนอื่นๆ ต่อไป อาทิ ร่วมทุนกับทาง ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น ผลิตภาพยนตร์ไทย จึงมั่นใจว่าการก้าวขึ้นเป็นเบอร์สองในตลาดเพลงเมืองไทยในระยะอันใกล้นี้” นายพีรธน กล่าว
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โซนี่ บีเอ็มจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ โซนี่ บีเอ็มจี ระดับโกลบอล ให้ความสำคัญกับตลาดเพลงในประเทศไทยว่า เหมาะแก่การพัฒนาธุรกิจเพลงในรูปแบบใหม่ๆ เนื่องจากคนไทยมีนิสัยพื้นฐานที่เปิดรับในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาธุรกิจออกมาแล้ว โซนี่ ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปได้
ล่าสุด ทางบริษัทได้นำกลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง มาใช้ โดยร่วมกับ 2 บริษัท คือ ค่ายเพลง เลิฟอิส เมื่อช่วงปลายปี 2550 โดยทาง โซนี่ บีเอ็มจี จะรับผิดชอบกระบวนการผลิต การจัดจำหน่ายและวางแผนการตลาดผ่านสื่อต่างๆ ขณะที่ค่ายเลิฟอิสจะดูแลด้านโปรดักชันทั้งหมด นอกจากนี้ ที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมกับ บริษัท ทาทา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลและบริหารงานต่างๆ ให้กับ ทาทา ยัง โดยทำงานร่วมกันมากว่า 4 อัลบั้มแล้ว ซึ่งอัลบั้มต่อไปก็ยังร่วมงานกันอยู่ โดยจะมีการออกอัลบั้มใหม่ ชื่อ วัน เลิฟ ขายวันที่ 6 มีนาคมนี้
“พันธมิตรอย่างค่ายเลิฟอิสเป็นค่ายเพลงคนไทยมีเพลงระดับคุณภาพ หรือแม้แต่ ทาทา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งมี ทาทา ยัง ที่เป็นนักร้องคนไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก จะเป็นความได้เปรียบในอนาคต ที่ผู้ฟังคนไทยจะต้องเปลี่ยนทัศนะคติของโซนี่ บีเอ็มจี จากค่ายเพลงต่างประเทศ ที่จะเข้าถึงกลุ่มคนไทยได้มากขึ้น จากการที่มีการทำตลาดให้กับนักร้องคนไทยของทั้ง 2 บริษัทนี้”
อีกทั้งจะมีการนำเอากลยุทธ์ ซีเอสอาร์ มาดันรายได้อีกทางหนึ่งด้วย หลังจากที่พบว่าในปีก่อนมีหลายบริษัทที่เริ่มโครงการซีเอสอาร์มากมาย แต่ยังมีบางส่วนที่อยากทำซีเอสอาร์ มาร์เก็ตติ้ง แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากขาดเครื่องมือที่สำคัญ คือ เพลง ดังนั้น โซนี่ บีเอ็มจี จะมีการทำโครงการด้านซีเอสอาร์ โดยจะนำเอา คอนเทนต์เพลงที่มีอยู่ มานำเป็นเครื่องมือให้กับพันธมิตรที่สนใจทำซีเอสอาร์ มารเก็ตติ้ง นี้ คาดว่า จะมีอย่างน้อย 10 โครงการ ซึ่งซีเอสอาร์ ที่ทางบริษัทจะนำมาใช้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง ที่บริษัทคาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 25%
ทั้งนี้ มั่นใจว่า ระยะอันใกล้นี้ โซนี่ บีเอ็มจี จะมีขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาดเพลงในประเทศไทยได้ จากเดิมในปีก่อน ผู้นำตลาดเพลงของไทย คือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีแชร์ 64% อันดับสอง คือ อาร์เอส มีแชร์ 24% และ โซนี่ บีเอ็มจี รั้งอันดับสาม ประมาณ 10%
“แม้แนวโน้มตลาดเพลงทั่วโลกและในไทยจะเติบโตน้อยลง เนื่องจากตลาดเพลงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น กับช่องทางใหม่ที่สามารถรับฟังเพลงได้สะดวกกว่าเดิม ซึ่งปีที่ผ่านมาตลาดเพลงของไทยเองเติบโตลดลง 15-20% แต่ โซนี่ บีเอ็มจี กลับมีรายได้เติบโตมากกว่าตลาดที่ 25-27% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากความแข็งแกร่งด้านเพลง ที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ แทนการหาช่องทางหารายได้ใหม่ๆ ทดแทน ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนำเอาคอนเท้นท์เพลง ไปต่อยอดสร้างรายได้ในส่วนอื่นๆ ต่อไป อาทิ ร่วมทุนกับทาง ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น ผลิตภาพยนตร์ไทย จึงมั่นใจว่าการก้าวขึ้นเป็นเบอร์สองในตลาดเพลงเมืองไทยในระยะอันใกล้นี้” นายพีรธน กล่าว
