เอ-ไทม์ ชู โชว์บิซ และทัวร์ 2 หัวหอกสำคัญ ต่อยอดธุรกิจวิทยุปีนี้ คาดช่วยเข็นรายได้แตะ 750 ล้านบาท หลังมองตลาดวิทยุโตทรงตัวเท่าปี 50 ภายใต้ความกดดันของเศรษฐกิจที่ยังไม่รู้ทิศทาง ยังยิ้มได้ปีก่อนเติบโต 3% มูลค่า 720 ล้านบาท เกินเป้าไป 10 ล้านบาท สวนกระแสตลาดรวมมูลค่า 6,700 ล้านบาท ที่โตติดลบ 3-4%
นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีทิศทางไปทางไหน รัฐบาลเองก็ยังจัดตั้งไม่เรียบร้อย จึงมองว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดสื่อวิทยุมูลค่า 6,700 ล้านบาทคงจะทรงตัว หรือมีการเติบโตบวกลบที่ 5% จากปีก่อนที่ตลาดโตลดลง 3-4%
สำหรับ เอ-ไทม์ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 750 ล้านบาท จากเดิมปีก่อนทำได้ 720 ล้านบาท โต 3% สูงกว่าเป้า 10 ล้านบาท โดยรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นจะมาจากธุรกิจใหม่ 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจโชว์บิซ กับการจัดกิจกรรมต่างรวมทั้งการจัดคอนเสิร์ต ซึ่งปีนี้คาดว่า จะมีไม่ต่ำกว่า 6-7 งาน จากเดิมปีที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 5 งาน และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Youth Olympic
2.ธุรกิจทัวร์ ภายใต้การจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ชื่อ เอ-ไทม์ แทรเวลเลอร์ (A-Time Traveler) ไม่ว่าจะเป็นการจัดไปเที่ยวต่างประเทศ ทั้ง สวิตเซอร์แลนด์ เนปาล และ บาหลี รวมถึงการรับออเดอร์ลูกค้าจัดทริปต่างๆ ให้ คาดว่า ทั้ง 2 ธุรกิจจะเป็นอีก 1 ช่องทางสร้างรายได้ที่ดีให้ เอ-ไทม์ ที่สัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวมทั้งหมด หลังจากที่ปีก่อนต้องชะลอธุรกิจท่องเที่ยวลง เนื่องจากลูกค้ามีความสนใจจนบริษัททำงานไม่ทัน
อีกทั้งปีนี้จะมีการขยายนิวมีเดีย โดยการจัดการวิทยุออนไลน์ เต็มรูปแบบบนโลกอินเทอร์เน็ต ในชาแนล iRadio:Pop ทาง www.iradioclub.com ซึ่งได้เริ่มออนไลน์ตั้งแต่ วันที่ 1 ธ.ค.ของปีที่ผ่านมาไปแล้ว
นางสายทิพย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจวิทยุทั้ง 4 คลื่น ปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 100 ล้านบาท เท่ากับปีก่อน สำหรับจัดกิจกรรมให้กับ 4 คลื่น ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 24 กิจกรรม โดย คลื่น 89 บานาน่า เอฟเอ็ม จะมีกิจกรรมใหญ่หลายกิจกรรม เช่น Banana Music on the Beach, Banana Show in Lasvegas และBanana Gang of London
สำหรับคลื่น 94 EFM จะมีอย่างน้อย 7 กิจกรรม ส่วน คลื่นนิวฮอตเวฟ 91.5 เอฟเอ็ม จะมีทั้งกิจกรรมการประกวดวงดนตรีฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด ครั้งที่ 13 รวมถึงการนำผู้ฟังไปชมคอนเสิร์ตในต่างประเทศ ขณะที่ กรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม ยังคงมีการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับกระแสโกลบอลวอร์มมิง
“การจัดกิจกรรมของทั้ง 4 คลื่น เพื่อเป็นการสร้างกระแส และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละคลื่นให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ คาดว่า จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาในลักษณะลองเทอมมากขึ้น จากที่พฤติกรรมลูกค้าจะนิยมซื้อสื่อวิทยุแบบเดือนต่อเดือน แต่ทาง เอ-ไทม์ จะพยายามหากลยุทธ์ต่างๆ เพื่อจูงใจลูกค้าให้มีการซื้อสื่ออย่างน้อย 3 เดือน หรือมากกว่านั้น”
โดยอัตราค่าโฆษณาทางสื่อวิทยุของ เอ-ไทม์ ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นแต่อย่างไร ซึ่งค่าโฆษณาของทาง คลื่น 89 บานาน่า เอฟเอ็ม อยู่ที่ 4,000 บาท ต่อ 30 วินาที เป็นอัตราที่สูงสุดเนื่องจากมีช่วงเวลาโฆษณาน้อย ส่วน คลื่นฮอตเวฟ อยู่ที่ 2,500 บาท ต่อ 30 วินาที ขณะที่ คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม อยู่ที่ 2,900 บาท ต่อ 30 วินาที และคลื่นกรีนเวฟ อยู่ที่ 3,200 บาท ต่อ 30 วินาที
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้ของ เอ-ไทม์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 22% ของรายได้รวมจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งอยู่ในตลาดวิทยุประมาณ 17% จากมูลค่าตลาดรวมที่ 6,400 ล้านบาท โดยรายได้ของ เอ-ไทม์ มาจาก 1.คลื่นกรีนเวฟ 40% 2.คลื่นฮอตเวฟ และ 89 บานาน่า เอฟเอ็ม 35% 3.คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม 15% และ 4.โชว์บิซ ทัวร์ และอื่นๆ อีก 10%
นางสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจของปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีทิศทางไปทางไหน รัฐบาลเองก็ยังจัดตั้งไม่เรียบร้อย จึงมองว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดสื่อวิทยุมูลค่า 6,700 ล้านบาทคงจะทรงตัว หรือมีการเติบโตบวกลบที่ 5% จากปีก่อนที่ตลาดโตลดลง 3-4%
สำหรับ เอ-ไทม์ ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 750 ล้านบาท จากเดิมปีก่อนทำได้ 720 ล้านบาท โต 3% สูงกว่าเป้า 10 ล้านบาท โดยรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นจะมาจากธุรกิจใหม่ 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจโชว์บิซ กับการจัดกิจกรรมต่างรวมทั้งการจัดคอนเสิร์ต ซึ่งปีนี้คาดว่า จะมีไม่ต่ำกว่า 6-7 งาน จากเดิมปีที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 5 งาน และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Youth Olympic
2.ธุรกิจทัวร์ ภายใต้การจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ชื่อ เอ-ไทม์ แทรเวลเลอร์ (A-Time Traveler) ไม่ว่าจะเป็นการจัดไปเที่ยวต่างประเทศ ทั้ง สวิตเซอร์แลนด์ เนปาล และ บาหลี รวมถึงการรับออเดอร์ลูกค้าจัดทริปต่างๆ ให้ คาดว่า ทั้ง 2 ธุรกิจจะเป็นอีก 1 ช่องทางสร้างรายได้ที่ดีให้ เอ-ไทม์ ที่สัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวมทั้งหมด หลังจากที่ปีก่อนต้องชะลอธุรกิจท่องเที่ยวลง เนื่องจากลูกค้ามีความสนใจจนบริษัททำงานไม่ทัน
อีกทั้งปีนี้จะมีการขยายนิวมีเดีย โดยการจัดการวิทยุออนไลน์ เต็มรูปแบบบนโลกอินเทอร์เน็ต ในชาแนล iRadio:Pop ทาง www.iradioclub.com ซึ่งได้เริ่มออนไลน์ตั้งแต่ วันที่ 1 ธ.ค.ของปีที่ผ่านมาไปแล้ว
นางสายทิพย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจวิทยุทั้ง 4 คลื่น ปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 100 ล้านบาท เท่ากับปีก่อน สำหรับจัดกิจกรรมให้กับ 4 คลื่น ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 24 กิจกรรม โดย คลื่น 89 บานาน่า เอฟเอ็ม จะมีกิจกรรมใหญ่หลายกิจกรรม เช่น Banana Music on the Beach, Banana Show in Lasvegas และBanana Gang of London
สำหรับคลื่น 94 EFM จะมีอย่างน้อย 7 กิจกรรม ส่วน คลื่นนิวฮอตเวฟ 91.5 เอฟเอ็ม จะมีทั้งกิจกรรมการประกวดวงดนตรีฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด ครั้งที่ 13 รวมถึงการนำผู้ฟังไปชมคอนเสิร์ตในต่างประเทศ ขณะที่ กรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม ยังคงมีการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับกระแสโกลบอลวอร์มมิง
“การจัดกิจกรรมของทั้ง 4 คลื่น เพื่อเป็นการสร้างกระแส และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละคลื่นให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ คาดว่า จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสื่อโฆษณาในลักษณะลองเทอมมากขึ้น จากที่พฤติกรรมลูกค้าจะนิยมซื้อสื่อวิทยุแบบเดือนต่อเดือน แต่ทาง เอ-ไทม์ จะพยายามหากลยุทธ์ต่างๆ เพื่อจูงใจลูกค้าให้มีการซื้อสื่ออย่างน้อย 3 เดือน หรือมากกว่านั้น”
โดยอัตราค่าโฆษณาทางสื่อวิทยุของ เอ-ไทม์ ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นแต่อย่างไร ซึ่งค่าโฆษณาของทาง คลื่น 89 บานาน่า เอฟเอ็ม อยู่ที่ 4,000 บาท ต่อ 30 วินาที เป็นอัตราที่สูงสุดเนื่องจากมีช่วงเวลาโฆษณาน้อย ส่วน คลื่นฮอตเวฟ อยู่ที่ 2,500 บาท ต่อ 30 วินาที ขณะที่ คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม อยู่ที่ 2,900 บาท ต่อ 30 วินาที และคลื่นกรีนเวฟ อยู่ที่ 3,200 บาท ต่อ 30 วินาที
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้ของ เอ-ไทม์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 22% ของรายได้รวมจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งอยู่ในตลาดวิทยุประมาณ 17% จากมูลค่าตลาดรวมที่ 6,400 ล้านบาท โดยรายได้ของ เอ-ไทม์ มาจาก 1.คลื่นกรีนเวฟ 40% 2.คลื่นฮอตเวฟ และ 89 บานาน่า เอฟเอ็ม 35% 3.คลื่น 94 อีเอฟเอ็ม 15% และ 4.โชว์บิซ ทัวร์ และอื่นๆ อีก 10%