xs
xsm
sm
md
lg

“ทีปพิพัฒน์” รุ่น 2 แตกไลน์ธุรกิจ ผุด บ.ลูกรุกร้านอาหารมิกซ์-อสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เจเนอเรชัน 2 ตระกูลทีปพิพัฒน์ แตกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ - ร้านอาหารมิกซ์  ปีหน้าทุ่ม 200 ล้านบาท ผุดรีสอร์ตกลางเมืองเชียงใหม่บนพื้นที่ 13 ไร่  จ่อคิวปี 52 ผุดที่พัทยา ล่าสุด ทุ่ม 40 ล้านบาท เปิดร้านอาหารมิกซ์ 5 สาขา ชูคอนเซปต์เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะพื้นที่ โอดผลประกอบการปีนี้หดตัว 15-16% ในรอบ 10 ปี เหลือ 2,000 ล้านบาท ปีหน้าตั้งเป้าโต 10%   

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ทีปพิพัฒน์ ผู้ดำเนินธุรกิจลอจิสติกส์ เปิดเผยว่า จากการที่ตระกูลกิจจาพิพัฒน์ ดำเนินธุรกิจลอจิสติกส์มากว่า 38 ปี ล่าสุด ในรุ่นเจเนอเรชันที่ 2 หรือรุ่นลูกได้แตกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการทุ่มงบ 200 ล้านบาท เปิดตัวรีสอร์ตกลางเมือง ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ในปีหน้านี้ ซึ่งได้เข้าไปซื้อที่ดิน 13 ไร่ มูลค่ากว่า 100 ล้านบาทแล้ว โดยเฟสแรกจะสร้างรีสอร์ตมีจำนวน 70 ห้อง เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบี มีกำลังซื้อเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทย 50:50 ส่วนเฟสสองกำลังพิจารณาทำเรียลเอสเตท หรือโรงแรมระดับ 5 ดาว ส่วนปีใน 2552 วางแผนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ 9 ไร่ ที่พัทยา  

พร้อมกันนี้ ยังได้แตกธุรกิจร้านอาหารมิกซ์ (MIXT) ภายใต้บริษัท ทีพีพี ฟูดส์ แอนด์ เบเวอร์เรจ จำกัด ด้วยการทุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดร้านอาหารมิกซ์ จำนวน 5 สาขาในปีนี้ ซึ่งแต่ละแห่งจะมีคอนเซปต์ที่แตกต่างกันตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละพื้นที่  ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ คอนเซปต์ ฟิวชันฟูดส์ โดยล่าสุดทุ่ม 12 ล้านบาท เปิดสาขาที่2 ที่ดิเอเวอร์นิว แจ้งวัฒนะ ในคอนเซปต์ย่าง ส่วนอีก 3 สาขา คือ ที่ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน คอนเซปต์เอ็กซ์เพรส, บางปู และเอสพลานาด เป็นต้น โดยในปีหน้าจะเปิดให้ครบ 10 สาขา แต่ต้องพิจารณารายได้ในช่วงไตรมาสแรก รวมทั้งผลจากการที่มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้

“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่หดตัว และปีหน้าเศรษฐกิจก็ไม่ได้โตแบบหวือหวามากนัก  ดังนั้นแนวทางการแตกธุรกิจของตระกูลกิจจาพิพัฒน์ ยึดธุรกิจที่เป็นปัจจัยสี่ จึงตัดสินใจแตกธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก แม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวจะมีรีสอร์ตหรือโรงแรมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม”

สำหรับผลประกอบการปีนี้ของบริษัทตกลง 15-16% หรือคิดเป็นมูลค่าลดลงเป็น 2,000 ล้านบาท จากเมื่อปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรอบ 10 ปี หรือตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่บริษัทมีรายได้หดตัวลง จากปกติจะมีอัตราการเติบโดยเฉลี่ย 10% เกือบทุกปี

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีรายได้หดตัว มาจากกลุ่มธุรกิจลอจิสติกส์ที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 60-70% ให้กับบริษัทหดตัวลง สาเหตุมาจากลูกค้าหลักปูนซีเมนต์รายได้ลดลง  ที่เหลืออีก 30-40% เป็น ธุรกิจสถานีน้ำมัน ธุรกิจบริหารคลังสินค้า ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้จากการแตกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และร้านอาหารในปีหน้านี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% จาก 2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าภายใน 3 ปี กลุ่มธุรกิจร้านอาหารจะถึงจุดคุ้มทุน ส่วนอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า อีก 8 ปีจะคุ้มทุน  
กำลังโหลดความคิดเห็น