xs
xsm
sm
md
lg

ศึกช้างชนช้าง "โลว์คอสต์แอร์ไลน์"...ชิงเค้กตลาดเอเชีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายสัปดาห์ - *สงครามการตลาดของอุตสาหกรรมการบินภูมิภาคเอเชียเข้มข้นดุเดือดขึ้นตามลำดับ *เมื่อเส้นทางระยะไกลข้ามทวีปคือจุดขายใหม่ของโลว์คอสต์ *ตลาดเอเชียจึงกลายเป็นเค้กก้อนโตที่ถูกหมายปอง *ศึก"แอร์เอเชีย"ปะทะ "เจ็ตสตาร์"ใครคือเจ้าตลาดตัวจริง!

ถึงจะตื่นตัวช้าไปสักนิด แต่วันนี้ "แอร์เอเชีย" ก็แสดงให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องรักษาฐานที่มั่นทางการตลาดไว้อย่างเหนียวแน่นที่สุด

เนื่องจากที่ผ่านมา สายการบินแควนตัส (Qantas Airways Ltd) จากออสเตรเลีย ได้เข้าไปเทคโอเวอร์สายการบินเจ็ตสตาร์ให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของแควนตัส ยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจการบินพยายามที่จะผลักดันให้กลุ่มทุนจากออสซี่ โหมประชาสัมพันธ์กระหึ่มไปทั่วทั้งเอเชียว่าจะยึดโซนแถบอาเซียนและเอเชียเป็นศูนย์กลางโกยเงินในเส้นทางธุรกิจโลว์คอสต์แอร์ไลน์ภูมิภาคอาเซียนจึงกลายเป็นเค้กก้อนโตที่ทั้งสองสายการบินต่างเล็งไว้เพื่อที่จะเข้ามาใช้เป็นโลเคชั่นหวังตั้งเป็นศูนย์กลางทางการบินแผ่ขยายอาณาจักรของตนเองกว่า 3 ปีที่ ดาโต๊ะโทนี เฮอร์นันเดซ (Tony Hernandez) ซีอีโอของของแอร์เอเชีย มาเลเซีย นำโลว์คอสต์แอร์ไลน์บินเข้ามายังไทย ด้วยเครื่องโบอิ้ง 737-300 ขนาด 148 ที่นั่ง นำร่องเปิดให้บริการใน 2 เส้นทางจากนั้นก็เพิ่มทั้งจำนวนเครื่องบินและเส้นทางบินไปเรื่อยๆตามหัวเมืองท่องเที่ยวหลักจนกระทั่งล่าสุดมีเส้นทางบินทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอยู่จำนวนมาก โดยบินประจำทุกวัน ด้วยราคาสุดคุ้มถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือต่ำกว่าราคาตลาดที่สายการบินนานาชาติบินกันอยู่

ขณะเดียวกันในแต่ละเที่ยวบินของแอร์ เอเชีย ที่ขายราคาถูกนั้น จะถูกจำกัดจำนวนที่นั่ง โดยสร้างราคาตลาด (market fare) ไว้ถึง 11 ราคา สูง-ต่ำจะต่างกันประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับใครจองก่อนจะได้ขึ้นเครื่องก่อน ได้เลือกที่นั่งก่อน เพราะบัตรขึ้นเครื่องจะไม่พิมพ์เลขที่นั่งให้ผู้โดยสารเลือกเองตามสะดวก ระหว่างบินจะไม่เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม (no frill) แต่จะเน้นลงทุนทำให้โปรดักส์ในเครื่องบินปลอดภัยสูง เก้าอี้สบาย มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ใช้

ด้วยจุดขายนี้เองส่งผลให้ผลประกอบการของ "แอร์เอเชีย"เติบโตแบบดีวันดีคืนสามารถสร้างเม็ดเงินกำไรเข้าสู่บริษัทได้เป็นอย่างกอบเป็นกำ จนทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำมีการขยายตัวเปิดให้บริการกันเพิ่มขึ้น

หนึ่งในนั้นก็คือสายการบินเจ็ตสตาร์ที่เดินหน้าขยายบริการเส้นทางบินระหว่างประเทศหวังตอบรับความสำเร็จจากการเปิดให้บริการในเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลในปีแรก ด้วยการเปิดแคมเปญคืนเงินส่วนต่าง 2 เท่าหากมีสายการบินอื่นเปิดจองที่นั่งบนเว็บไซต์ในราคาที่ต่ำกว่าที่สำคัญสายการบินเจ็ตสตาร์มีการเติบโตมากกว่า 3 เท่าหลังจากเริ่มเปิดดำเนินการด้วยการเป็นสายการบินภายในประเทศออสเตรเลียเมื่อ 3 ปีก่อน และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีกเกือบ 10 เท่าในปี 2553/2554 และในปีงบประมาณ 2550 เจ็ตสตาร์ให้บริการรับส่งผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 7.6 ล้านคน

การเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีค่าโดยสารราคาประหยัดรายแรกของโลกที่เปิดบริการเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลครั้งนี้ ประเดิมด้วยเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-เมลเบิร์น และภูเก็ต-ซิดนีย์เส้นทางละ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ส่งผลให้ แอร์เอเชีย ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุด แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ดึง "เวอร์จิ้น บลู" เข้าถือหุ้นส่วนถึง 20% พร้อมตั้งเป้าบุกเบิกธุรกิจโลว์คอสต์เจาะตลาดบินระยะไกลชนิดข้ามทวีปเช่นเดียวกัน โดยมีเส้นทางนำร่อง กัวลาลัมเปอร์-ออสเตรเลีย พร้อมกับงัดกลยุทธ์เดิมดัมป์ราคาตั๋วโปรโมชั่นจูงใจนักเดินทางลดลงเหลือเพียง 900-19,000 บาทโดยใช้ฝูงบินก่อนเพียง 1 ลำ ขณะเดียวกันก็มีการสั่งซื้อฝูงบินแอร์บัส A330-300s ใหม่ 15 ลำ ไว้รองรับการขยายเส้นทางในทันที

โดยจุดหมายอื่นจะเปิดเพิ่มเส้นทาง หางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน หวังเชื่อมเครือข่ายตลาด เอเชีย เอ็กซ์ เข้าสู่ออสเตรเลีย สนับสนุนเวอร์จิ้นและจะช่วยสร้างจุดเชื่อมต่อนักเดินทางจากยุโรปเข้าออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดหลักทุกปีมีจำนวนสูงมาก

แอร์เอเชีย มีความพยายามจะวางตำแหน่งการตลาดของ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ให้เป็นสายการบินต้นทุนต่ำอย่างแท้จริง เพื่อให้บริการบินระยะไกลเป็นรายแรก ชูการทำโปรโมชั่นเส้นทางแรกขายตั๋ว 90-1,900 ริงกิต (900-19,000 บาท) บิน 4 เที่ยว/สัปดาห์ เมื่อประสบความสำเร็จจะปรับเป็น 2 เที่ยว/วัน หรือ 14 เที่ยว/สัปดาห์

"การเลือกเปิดตลาดแรกเข้าออสเตรเลีย เพราะมั่นใจว่าตลาดมีความต้องการสูง ขณะเดียวกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดหมาย อันดับต้นๆ ของออสเตรเลีย อีกทั้งกัวลาลัมเปอร์มีศักยภาพส่งต่อผู้โดยสารไปยังจุดหมายอื่นในภูมิภาค เช่น บาหลี โกตากินะบะลู กรุงเทพฯ"โทนี่ ได้กล่าวไว้เมื่อไม่นานหลังเปิดตัวแอร์เอเชีย เอ็กซ์

ปัจจุบันสถานการณ์การแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้บริการระยะไกลจากออสเตรเลีย อย่างเจ็ตสตาร์ แอร์ไลน์ แนวโน้มจะถูก แอร์เอเชีย เอ็กซ์ แย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดไปได้เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากที่มีอยู่จะสนใจกับกลไกของราคาที่เหมาะสมเท่านั้น หากแต่ว่า เจ็ตสตาร์กับแอร์เอเชีย ใครจะกระตุ้นการซื้อได้ดีกว่ากัน

นอกจากนี้ แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ตัวจักรสำคัญในการผลักดันกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศต้นทุนต่ำอาเซียน ด้วยยุทธศาสตร์ที่มีแอร์เอเชียช่วยสนับสนุนการผลิตบุคลากร ผลิตนักบินที่สถาบันแอร์เอเชีย อคาเดมี ปัจจุบันผลิตนักบินฝึกหัด 400 คน/ปี รวมทั้งสนับสนุนเครื่องบินสำรองแก่แอร์เอเชีย เอ็กซ์ทั้งหมด 10 ลำ

ขณะที่ เจ็ตสตาร์มีแควนตัส เป็นหุ้นส่วนที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของวงการธุรกิจการบินให้ดูดีขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับลูกค้า ด้านแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ก็ไม่น้อยหน้าใช้ เวอร์จิ้น บลู เป็นหุ้นส่วนที่จะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ในตลาดโลก รวมทั้งการเชื่อมสัมพันธ์กับสนามบินนานาชาติ รัฐบาลและองค์กรควบคุมกฎระเบียบการขนส่งทางอากาศต่างๆ ส่วนเส้นทางบินหลักระยะไกลใช้เวลา 4 ชั่วโมงขึ้นไป เป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง ยุโรป ขณะนี้ได้สิทธิการบินเรียบร้อยแล้วไปยัง อวาลอน, โกลด์โคสต์ (ออสเตรเลีย) และลอนดอน

ทั้งนี้แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ก่อตั้งเมื่อมกราคม 2550 วางยุทธศาสตร์ขยายตลาดเส้นทางระยะไกลเชื่อมต่อกับเครือข่ายเส้นทางระยะสั้นที่แอร์เชียมีอยู่ในปัจจุบัน ทำการเซ็นสัญญาขายหุ้น 20% ให้เวอร์จิ้น กรุ๊ป ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติปูตราจาย่า มาเลเซีย เมื่อ 10สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา

เจ็ตสตาร์เล็งไทยเป็นศูนย์กลาง

ปัจจุบันแควนตัสซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินแบบโลว์คอสต์เจ็ตสตาร์แอร์เวย์ส (JetStar Airways) กำลังพยายามหาทางย้ายฐานการบินแบบโลว์คอสต์ออกไปจากสิงค์โปร์ ซึ่งมีข้อจำกัดทางสภาพภูมิศาสตร์ทำให้ขาดทุนมาตลอดช่วง 2 ปีมานี้

สิงคโปร์ไม่เหมาะที่จะเป็นฐานธุรกิจการบินเนื่องจากเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเปิดบินภายในประเทศได้ การมีสัมพันธ์ทางธุรกิจกับแปซิฟิกแอร์ไลน์จะช่วยให้แควนตัสกับเจ็ตสตาร์เปิดช่องทางทำธุรกิจบินโลว์คอสต์ในตลาดใหญ่อย่างเวียดนาม และในภูมิภาคเอเชียได้

การให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลียเพราะ "กรุงเทพฯ และภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย ด้วยการเป็นสายการบินที่มีค่าโดยสารราคาประหยัดที่มีผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพให้เลือกสรร เจ็ทสตาร์จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมในการเดินทางของนักท่องเที่ยว อันเป็นปัจจัยที่เสริมความเป็นผู้นำสายการบินราคาประหยัดของเจ็ตสตาร์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์มีบริการเที่ยวบินตรงระหว่าง สิงคโปร์ - กรุงเทพฯ 3 เที่ยวบินต่อวัน หรือ 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเที่ยวบินสิงคโปร์ - ภูเก็ต สัปดาห์ละ 6 เที่ยวบิน"เจ็ทสตาร์เน้นการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลของเจ็ตสตาร์ เราเริ่มด้วยการจัดตั้งฐานลูกเรือขึ้นในกรุงเทพฯ ที่รองรับลูกเรือกว่า 100 คน นับเป็นฐานลูกเรือสำหรับเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลเพียงแห่งเดียวของเจ็ทสตาร์ที่ตั้งอยู่นอกประเทศออสเตรเลีย" มร. จอยซ์กล่าว

และเพื่อเป็นการตอกย้ำปณิธานในการเป็นสายการบินที่มอบค่าโดยสารราคาประหยัดสูงสุด เจ็ตสตาร์จึงมีแผนคลิกไอเดียจัดทำคูปองคืนเงิน 2 เท่า "Double the Difference" ซึ่งเป็นการรับประกันการคืนเงินค่าโดยสารส่วนต่างอีกเท่าตัว

โมเดลทางการตลาดง่ายๆก็คือผู้โดยสารที่จองที่นั่งของเจ็ตสตาร์ แล้วพบว่ามีสายการบินอื่นเปิดจองที่นั่งโดยสารบนเว็บไซด์ในราคาที่ต่ำกว่าเจ็ตสตาร์ในเที่ยวบินระหว่างประเทศระยะไกลในเส้นทางเดียวกัน และวันเดินทางเดียวกัน จะได้รับคูปองการคืนเงินค่าโดยสารส่วนต่างถึง 2 เท่า ซึ่งคูปองดังกล่าวลูกค้าสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดในการจองที่นั่งโดยสารสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป

"คูปอง "Double the Difference" ใช้กับเส้นทางบินระหว่างประเทศจากออสเตรเลียทุกเส้นทางของเจ็ตสตาร์ (ยกเว้นเส้นทางบินจากญี่ปุ่น) รวมทั้ง เส้นทางบินในประเทศออสเตรเลียและระหว่างหมู่เกาะแทสแมนทุกเส้นทาง"มร.จอยซ์ กล่าว

ขณะเดียวกันการขยายเส้นทางให้บริการของ เจ็ตสตาร์ ได้ถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกก่อนที่จะเปิดให้บริการเพื่อตอบรับความนิยมเดินทางท่องเที่ยวในเส้นทางบินระหว่างประเทศด้วยค่าโดยสารราคาคุ้มค่า ล่าสุด เจ็ตสตาร์มีการเตรียมเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางระหว่างซิดนีย์ - บาหลี

"บาหลี คือ หนึ่งในตลาดการบินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ็ตสตาร์ โดยมีผลประกอบการโดดเด่นมาโดยตลอด ทำให้เราตัดสินใจเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินระหว่างออสเตรเลีย - เดนปาซาร์เพิ่มขึ้นอีก 50%" มร. จอยซ์ กล่าว

ปัจจุบัน เจ็ตสตาร์ให้บริการเที่ยวบินซิดนีย์-บาหลี และซิดนีย์-เมลเบิร์นเส้นทางละ 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมเป็นต้นไป เจ็ทสตาร์จะเพิ่มเที่ยวบินระหว่างซิดนีย์-บาหลีเป็นสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบินในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจ็ทสตาร์ได้ขยายบริการเส้นทางบินระหว่างประเทศด้วยการเปิดบริการเส้นทางบินใหม่ระหว่างออสเตรเลีย-มาเลเซีย และการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างแคนส์-โอซากา

ฝูงบินระดับโลก

ความปลอดภัยสูงสุดกลายเป็นประเด็นสำคัญของธุรกิจการบิน ดังนั้น เจ็ตสตาร์จะเป็นสายการบินรายแรกของออสเตรเลียที่ปรับเปลี่ยนไปใช้ฝูงบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์รุ่นใหม่ รวม 15 ลำ ซึ่งจะนำไปใช้ในเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลในอนาคต เริ่มตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นไป และหลังจากปรับเปลี่ยนไปใช้ฝูงบินดรีมไลเนอร์รวมทั้งหมด 15 ลำ เจ็ทสตาร์จะก้าวขึ้นเป็นสายการบินระหว่างประเทศระดับแนวหน้าที่มีการใช้ประโยชน์จากฝูงบินในอนาคต

ซึ่งในปีนี้ เจ็ตสตาร์ได้รับมอบเครื่องบินแอร์บัส เอ330-200 ใหม่อีก 2 ลำ ส่งผลให้ฝูงบินแอร์บัส เอ330-200 ของเจ็ตสตาร์มีอายุโดยเฉลี่ยเพียง 3 ปี สำหรับการซ่อมบำรุงฝูงบินของเจ็ตสตาร์อยู่ภายใต้การดูแลและรับผิดชอบของบริษัท แควนตัส เอ็นจิเนียริ่ง นอกจากนี้ การดำเนินงานของเจ็ตสตาร์ยังใช้มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกับสายการบินอื่นๆ ในเครือแควนตัส ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยสูงสุดในโลก

ด้าน แอร์เอเชีย กลับมั่นใจที่เปิดให้บริการในเส้นทางบิน เนื่องจากลูกค้าซึ่งเป็นประชากรของไทยและมาเลเซียซึ่งมีอยู่กว่า 70 ล้านคน ในจำนวนนี้จะมีคน 2% ของพลเมืองทั้งหมด เข้ามาใช้บริการเที่ยวบินแอร์เอเชีย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากมาเลย์ 80% เลือกมาเที่ยวเมืองไทยเป็นอันดับแรก ต่อไปการท่องเที่ยวไทยจะคึกคักมากขึ้น เพราะคนมีโอกาสเลือกเดินทางในราคาถูกลงโดยใช้เวลาเดินทางสั้นลงด้วย

ซีอีโอแอร์เอเชีย กล่าวถึงการลงทุนในครั้งที่เปิดให้บริการครั้งแรกว่า ธรรมดาแอร์ เอเชีย ไม่มีหนี้สิน หลังจากมีแผนเปิดบินเข้าไทยจึงได้กู้เงินจากธนาคารดีบีเอสฯ 1,100 ล้านบาท (100 ล้านริงกิต) นำไปซื้อเครื่องโบอิ้ง 737-300 ซึ่งปัจจุบันมีการทยอยส่งมอบเครื่องบินใหม่รุ่นแอร์บัส A320 นำมาใช้เปิดให้บริการลูกค้าแทนเครื่องบินรุ่นเก่าและคาดว่าภายในปี 2553 แอร์เอเชียจะมีเครื่องบินรุ่นแอร์บัส A320 อยู่ในมือถึงจำนวน 40 ลำทีเดียว

ว่ากันว่า แอร์เอเชียมีแผนที่จะเปิดข่ายการบินแบบโลว์คอสต์เชื่อมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเติบโต (ของการบินโลว์คอสต์) ในภูมิภาคนี้น่าทึ่งจริงๆ หากใครเดินเกมไม่ทันก็จะกลายเป็นผู้ตามทันที

แผนการจัดตั้งสายการบินโลว์คอสต์แห่งที่ 2 นี้ ย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายการบินแปซิฟิกแอร์ไลน์ ที่จำหน่ายหุ้นในสัดส่วนเดียวกันนี้ให้แก่สายการบินแควนตัส (Qantas) แห่งออสเตรเลีย เมื่อต้นปีเพื่อเชื่อมปลายทางต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ

แควนตัสได้จัดโครงสร้างการบริหารใหม่และส่งเจ้าหน้าที่จากออสเตรเลียนั่งประจำคณะกรรมการบริหาร แต่การขยายกิจการดำเนินไปค่อนข้างล่าช้าในช่วงหลายเดือนมานี้

การซื้อหุ้นในแปซิฟิกแอร์ไลน์ของแควนตัสก็เพื่อให้สายการบินเจ็ตสตาร์เอเชีย(JetStar Asia) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ขาดทุนมาตลอดได้มีโอกาสเปิดตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่การบินโลว์คอสต์เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในไม่กี่ปีนี้เอง

แปซิฟิกแอร์ไลน์ซึ่งมีเครื่องบินให้บริการอยู่เพียง 3 ลำ ได้ประกาศจัดหาเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ลำ แต่ก็ยังไม่กำหนดเวลาที่แน่นอน ขณะที่สายการบินแห่งนี้ประกาศเปิดเส้นทางใหม่ๆหลายแห่ง รวมทั้งบินมายังกรุงเทพฯและบินเชื่อมไต้หวันด้วยเครื่องแอร์บัส A321 ที่มีอยู่

แอร์เอเชียเจาะเวียตนาม

การรุกคืบของแอร์เอเชีย จึงส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนจากออสเตรเลียในแปซิฟิกแอร์ไลน์โดยตรง ซึ่งไม่เพียงเท่านั้น การปรากฏตัวของฮับการบินเอเชียแห่งที่ 2 ของ แอร์เอเชีย ในเวียดนามยังจะส่งผลโดยตรงถึงสายการบินแห่งชาติเวียดนามแอร์ไลน์ส ซึ่งในปัจจุบันครอบครองเส้นทางหลักภายในประเทศ ซึ่งล้วนเป็นเส้นทางทีมีกำไร

สายการบินโลว์คอสต์แห่งใหม่จะส่งผลกระทบต่อสายการบินต่างๆ ในเวียดนามอย่างแน่นอน ทุกแห่งจะต้องปรับตัวเพื่อการแข่งขัน โดยนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจะเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์

จึงไม่แปลกที่ แอร์เอเชียเพิ่งประกาศขยายเส้นทางใหม่จากไทยและมาเลเซียไปยังฮ่องกง และในวันต่อมา บริษัทนี้ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ได้ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4 ที่เพิ่มขึ้นถึง 41.5% คิดเป็น 53 ล้านดอลลาร์ แอร์เอเชียยอมรับว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนั้นเนื่องจากมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นราว 45% นั่นเอง

ปัจจุบันแอร์เอเชียมีเครื่องบินใช้งานจำนวน 50 ลำ เป็นเครื่องแอร์บัส A320 จำนวน 15 ลำ กับ โบอิ้ง737-300s อีก 35 ลำ แต่เมื่อปี 2548 บริษัทแม่แอร์เอเชียในมาเลเซียได้เซ็นสัญญาซื้อเครื่องแอร์บัส A320 ล็อตใหญ่จำนวน 150ลำ ทั้งหมดมีกำหนดจะขึ้นบินได้ในปี 2552

การสั่งซื้อครั้งใหม่นี้จะทำให้แอร์เอเชียเป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชย มีเครื่องบินรวมประมาณ 200 ลำมากกว่าสายการบินขนาดใหญ่ในเอเชียทุกสายในปัจจุบัน และยังเป็นสายการบินที่มีเครื่องแอร์บัส A320 ในฝูงมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

"เราต้องการเครื่องบิน A320 อีก 25ลำ และจะมีการประกาศเรื่องนี้ภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า" ซีอีโอแอร์เอเชียกล่าว ซึ่งท้ายที่สุดว่ากันว่าแอร์เอเชียอาจจะใช้ฐานในเวียดนาม เปิดบินเชื่อมปลายทางต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

จะว่าไปแล้ว นโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรีเพื่อเปิดทางให้เกิด "โลว์คอสต์แอร์ไลน์" นั้น "ผู้โดยสาร" จะได้เห็นศึกช้างชนช้างในสนามการตลาดระหว่างภูมิภาคและในประเทศอย่างชัดเจน

แต่ด้วยโมเดลการตลาดที่แยบยลไปด้วยสงครามหั่นราคาตั๋วโดยสารสำหรับเส้นทางระยะไกลข้ามทวีปแบบนี้ กอปรกับแนวคิดที่จะหาวิธีช่วงชิงลูกค้าให้เข้าไปใช้บริการให้มากที่สุดจึงต้องจับตาดูว่า ระหว่าง แอร์เอเชีย กับ เจ็ตสตาร์ สองเสือผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลว์คอสต์เอเชียใครจะมีดีกรีพอที่จะสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำดีกว่าผู้ตาม....ซึ่งที่แน่ๆ ผู้โดยสารจะได้ประโยชน์มากที่สุด แต่ทั้งหมดจะต้องรู้วิธีซื้อเพราะของดีราคาถูกเป็นกลยุทธ์โฆษณา ซึ่งถูกจำกัดด้วยจำนวนเก้าอี้ไม่กี่ที่นั่ง อาจจะไม่มีคุณภาพอย่างที่คิดก็เป็นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น