โรสมีเดียฯ วางแผนปีหน้า โฟกัสนำเข้ากลุ่มการ์ตูนมากขึ้นเป็น 60% ลดหนังใหญ่เหลือ 40% หนีตลาดหนังใหญ่แข่งดุ โอกาสขาดทุนมีมาก พร้อมทั้งรุกตลาดลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์เต็มสูบ ล่าสุด คว้าสิทธิ์กบเคโรโระ เสริมทัพ คาดปีนี้กำไรรวมไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท
นางสาวอรพรรณ มนต์พิชิต รองประธานกรรมการสายงานภาพยนตร์ บริษัท โรสมีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแนวทางการทำธุรกิจในส่วนของกลุ่มธุรกิจหนังและการ์ตูนใหม่ในปีหน้า โดยได้ปรับสัดส่วนจำนวนหนังการ์ตูนเป็น 60% และจำนวนหนังโรง 40% จากเดิมที่ในปีนี้สัดส่วนจะมาจากการ์ตูนและหนังเท่ากัน ขณะที่เมื่อปีที่แล้วสัดส่วนจำนวนหนังจะมาจากหนังใหญ่ 60% และการ์ตูน 40% ซึ่งเป็นการเพิ่มบทบาทการ์ตูนมากขึ้น
เนื่องจากการทำธุรกิจนำหนังใหญ่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์นั้น มีต้นทุนที่สูงขณะที่รายได้หรือกำไรนั้นมีเพียงเล็กน้อย รวมทั้งกฎข้อห้ามต่างๆ ก็เป็นปัญหาสำคัญ และยังมีโอกาสที่เสี่ยงต่อการขาดทุนสูงอีกด้วย เพราะการแข่งขันที่รุนแรงอีกทั้งระยะเวลาของการฉายหนังในโรงนั้นก็มีน้อย หากไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่จริงก็ลำบาก ส่วนตลาดการ์ตูนนั้นลงทุนน้อยกว่าและแข่งขันน้อยกว่าด้วย รวมทั้งเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีตลาดการ์ตูนจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดการ์ตูนด้วย
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของบริษัทยังคงมาจากภาพยนตร์มากกว่า 50% รองลงมาคือ การ์ตูน 30% และที่เหลืออีก 20% เป็นอย่างอื่นรวมกัน ตามโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่ได้ทำการปรับใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้และขณะนี้เริ่มลงตัวแล้ว คือ ภาพยนตร์, การ์ตูน, ค้าปลีก, โลคอลคอนเทนต์ โดยที่กลุ่มการ์ตูนนั้นยังแบ่งย่อยออกเป็น กลุ่มพรีสคูล กลุ่มการ์ตูนญี่ปุ่น กลุ่มการ์ตูนตะวันตก ซึ่งการแยกย่อยออกมาเพื่อที่จะได้รู้ว่าธุรกิจกลุ่มใดมีกำไร หรือขาดทุน และมีศักยภาพอย่างไร
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 นี้ บริษัทมีผลประกอบการที่น่าพอใจโดยมีอัตราการเติบโตกว่า 15-20% แล้วและคาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีการเติบโตตามเป้าหมาย 15% เช่นเดียวกัน และคาดว่า ปีนี้ทั้งปีจะมีผลกำไรรวมประมาณ 70-100 ล้านบาท และคาดว่า ปีหน้าจะมีการเติบโตอย่างต่ำ 15%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรสฯได้เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยของค่ายหนังต่างๆ หลายรายแล้ว เช่น ค่ายอาร์เอส ค่ายพระนครฟิล์ม ค่ายโมโนฟิล์ม เป็นต้น เพื่อนำลิขสิทธิ์มาทำตลาดในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี ส่วนธุรกิจหนังการ์ตูนนั้นขณะนี้มีลิขสิทธิ์ 2 เรื่องดังที่ฉายในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมนี้ คือ ไดโนเสาร์ของโนบิตะ และเรื่อง เคโรโระ และหนังใหญ่อีกเรื่องช่วงท้ายปี คือ เรื่องแรมโบ้ ภาค 4
นางอรพรรณ กล่าวต่อถึง การรุกธุรกิจลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดคาแรกเตอร์เต็มที่ โดยการชูกลยุทธ์การขอลิขสิทธิ์แบบออลไรต์ หรือการรับลิขสิทธิ์ทุกรูปแบบเพื่อความสมบูรณ์และประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันบริษัทถือลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์อยู่ประมาณ 7 ตัว เช่น นารูโตะ โซนิคเอ็กซ์ กบเคโรโระ เป็นต้น ส่วนโดราเอมอนนั้นได้สิทธิ์เฉพาะหนังและวีซีดี ดีวีดีเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันหนังการ์ตูนฉายอยู่ที่ช่องโมเดิร์นไนน์
สำหรับลิขสิทธิ์ล่าสุด คือ ตัวคาแรกเตอร์ กบเคโรโระ จากกลุ่มมีเดียเน็ตที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยบริษัทได้รับสิทธิ์แบบครบวงจรทั้ง หนังใหญ่ หนังทีวี เมอร์ชันไดส์ เป็นต้น ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายใช้งบการตลาดประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อสร้างคาแรกเตอร์นี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อเป็นการสร้างกระแสในการรับรู้ให้มากที่สุด
ขณะที่อยู่ระหว่างการเจรจากับทางพันธมิตรที่สนใจในการซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อไปผลิตสินค้าเมอร์ชันไดส์ต่างๆ เช่น กลุ่มเครื่องเขียน เสื้อผ้า ของใช้ กิ๊ฟต์ชอป รองเท้า เป็นต้น คาดว่า จะสามารถสรุปการเจรจาได้ในเร็วๆ นี้ ส่วนในแง่ของหนังการ์ตูนนั้น ได้ฉายทางช่องทีไอทีวี นอกจากนั้นแล้ว ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะมีแผนการรุกตลาดเต็มที่โดยเฉพาะในส่วนของอะโบฟเดอะไลน์ หรือการจัดกิจกรรมอีเวนต์ต่างๆ ตามชุมชนที่ใหญ่ๆ และสำคัญประจำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแส
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะต่อยอดจากธุรกิจการ์ตูนด้วยการเปิดช่องโทรทัศน์ขึ้นมาซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางผู้ประกอบการทีวีดาวเทียม โดยจะเปิดขึ้นมา 1 ช่องเฉพาะ คาดว่า จะใช้ชื่อ แก๊งการ์ตูนพลัส โดยบริษัทจะผลิตคอนเทนต์และบริการเองทั้งช่อง คาดว่าปีหน้าจะเป็นรูปร่างแน่นอน จากปัจจุบันที่บริษัทได้เช่าเวลาจากช่อง 5 ทำรายการ แก๊งการ์ตูน ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ จำนวน 30 นาที และล่าสุด ได้เพิ่มเวลาเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งแล้ว
นางสาวอรพรรณ มนต์พิชิต รองประธานกรรมการสายงานภาพยนตร์ บริษัท โรสมีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแนวทางการทำธุรกิจในส่วนของกลุ่มธุรกิจหนังและการ์ตูนใหม่ในปีหน้า โดยได้ปรับสัดส่วนจำนวนหนังการ์ตูนเป็น 60% และจำนวนหนังโรง 40% จากเดิมที่ในปีนี้สัดส่วนจะมาจากการ์ตูนและหนังเท่ากัน ขณะที่เมื่อปีที่แล้วสัดส่วนจำนวนหนังจะมาจากหนังใหญ่ 60% และการ์ตูน 40% ซึ่งเป็นการเพิ่มบทบาทการ์ตูนมากขึ้น
เนื่องจากการทำธุรกิจนำหนังใหญ่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์นั้น มีต้นทุนที่สูงขณะที่รายได้หรือกำไรนั้นมีเพียงเล็กน้อย รวมทั้งกฎข้อห้ามต่างๆ ก็เป็นปัญหาสำคัญ และยังมีโอกาสที่เสี่ยงต่อการขาดทุนสูงอีกด้วย เพราะการแข่งขันที่รุนแรงอีกทั้งระยะเวลาของการฉายหนังในโรงนั้นก็มีน้อย หากไม่ใช่หนังฟอร์มใหญ่จริงก็ลำบาก ส่วนตลาดการ์ตูนนั้นลงทุนน้อยกว่าและแข่งขันน้อยกว่าด้วย รวมทั้งเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีตลาดการ์ตูนจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดการ์ตูนด้วย
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของบริษัทยังคงมาจากภาพยนตร์มากกว่า 50% รองลงมาคือ การ์ตูน 30% และที่เหลืออีก 20% เป็นอย่างอื่นรวมกัน ตามโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่ได้ทำการปรับใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้และขณะนี้เริ่มลงตัวแล้ว คือ ภาพยนตร์, การ์ตูน, ค้าปลีก, โลคอลคอนเทนต์ โดยที่กลุ่มการ์ตูนนั้นยังแบ่งย่อยออกเป็น กลุ่มพรีสคูล กลุ่มการ์ตูนญี่ปุ่น กลุ่มการ์ตูนตะวันตก ซึ่งการแยกย่อยออกมาเพื่อที่จะได้รู้ว่าธุรกิจกลุ่มใดมีกำไร หรือขาดทุน และมีศักยภาพอย่างไร
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 นี้ บริษัทมีผลประกอบการที่น่าพอใจโดยมีอัตราการเติบโตกว่า 15-20% แล้วและคาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีการเติบโตตามเป้าหมาย 15% เช่นเดียวกัน และคาดว่า ปีนี้ทั้งปีจะมีผลกำไรรวมประมาณ 70-100 ล้านบาท และคาดว่า ปีหน้าจะมีการเติบโตอย่างต่ำ 15%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรสฯได้เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยของค่ายหนังต่างๆ หลายรายแล้ว เช่น ค่ายอาร์เอส ค่ายพระนครฟิล์ม ค่ายโมโนฟิล์ม เป็นต้น เพื่อนำลิขสิทธิ์มาทำตลาดในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี ส่วนธุรกิจหนังการ์ตูนนั้นขณะนี้มีลิขสิทธิ์ 2 เรื่องดังที่ฉายในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมนี้ คือ ไดโนเสาร์ของโนบิตะ และเรื่อง เคโรโระ และหนังใหญ่อีกเรื่องช่วงท้ายปี คือ เรื่องแรมโบ้ ภาค 4
นางอรพรรณ กล่าวต่อถึง การรุกธุรกิจลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดคาแรกเตอร์เต็มที่ โดยการชูกลยุทธ์การขอลิขสิทธิ์แบบออลไรต์ หรือการรับลิขสิทธิ์ทุกรูปแบบเพื่อความสมบูรณ์และประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันบริษัทถือลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์อยู่ประมาณ 7 ตัว เช่น นารูโตะ โซนิคเอ็กซ์ กบเคโรโระ เป็นต้น ส่วนโดราเอมอนนั้นได้สิทธิ์เฉพาะหนังและวีซีดี ดีวีดีเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันหนังการ์ตูนฉายอยู่ที่ช่องโมเดิร์นไนน์
สำหรับลิขสิทธิ์ล่าสุด คือ ตัวคาแรกเตอร์ กบเคโรโระ จากกลุ่มมีเดียเน็ตที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยบริษัทได้รับสิทธิ์แบบครบวงจรทั้ง หนังใหญ่ หนังทีวี เมอร์ชันไดส์ เป็นต้น ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายใช้งบการตลาดประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อสร้างคาแรกเตอร์นี้ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อเป็นการสร้างกระแสในการรับรู้ให้มากที่สุด
ขณะที่อยู่ระหว่างการเจรจากับทางพันธมิตรที่สนใจในการซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อไปผลิตสินค้าเมอร์ชันไดส์ต่างๆ เช่น กลุ่มเครื่องเขียน เสื้อผ้า ของใช้ กิ๊ฟต์ชอป รองเท้า เป็นต้น คาดว่า จะสามารถสรุปการเจรจาได้ในเร็วๆ นี้ ส่วนในแง่ของหนังการ์ตูนนั้น ได้ฉายทางช่องทีไอทีวี นอกจากนั้นแล้ว ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะมีแผนการรุกตลาดเต็มที่โดยเฉพาะในส่วนของอะโบฟเดอะไลน์ หรือการจัดกิจกรรมอีเวนต์ต่างๆ ตามชุมชนที่ใหญ่ๆ และสำคัญประจำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแส
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะต่อยอดจากธุรกิจการ์ตูนด้วยการเปิดช่องโทรทัศน์ขึ้นมาซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางผู้ประกอบการทีวีดาวเทียม โดยจะเปิดขึ้นมา 1 ช่องเฉพาะ คาดว่า จะใช้ชื่อ แก๊งการ์ตูนพลัส โดยบริษัทจะผลิตคอนเทนต์และบริการเองทั้งช่อง คาดว่าปีหน้าจะเป็นรูปร่างแน่นอน จากปัจจุบันที่บริษัทได้เช่าเวลาจากช่อง 5 ทำรายการ แก๊งการ์ตูน ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ จำนวน 30 นาที และล่าสุด ได้เพิ่มเวลาเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งแล้ว