เจ.เอ็ม.อุตสาหกรรมอาหาร ปั้นเจเอ็มเอฟ ซิตี้ มิล ลุยธุรกิจบริการส่งอาหารถึงบ้าน จ่อคิวผุดสาขาใหม่ 6 แห่ง พร้อมขยายกลุ่มธุรกิจอาหารทุกช่องทาง เลี่ยงบุกห้างสรรพสินค้าหวั่นยักษ์ใหญ่ถล่ม สิ้นปีนี้คาดรายได้ 280 ล้านบาท
นางรัชดา ขอประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท เจ.เอ็ม.อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอาหาร เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯดำเนินธุรกิจรับจัดอาหารมากว่า 25 ปี ล่าสุดได้ขยายไลน์ธุรกิจใหม่เจเอ็มเอฟ ซิตี้ มิล บริการส่งอาหารถึงบ้าน จากเดิมธุรกิจแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการจัดเลี้ยงภายใต้แบรนด์เจเอ็มเอฟ ปาร์ตี้ โซลูชัน กลุ่มร้านอาหารคีออสค์ ฟู้ดคอร์ทในห้างสรรพสินค้าเจเอ็มเอฟ ไรซ์ สเตชัน กลุ่มผลิตอาหารกล่องเจเอ็มเอฟฟูดแอนด์สแนก บอกซ์ กลุ่มอาหารแช่แข็งสำเร็จรูป เบเกอรี่ เจเอ็มเอฟฟูดเซอร์วิส กลุ่มอาหารแช่แข็งส่งออกแบรนด์อีสเทิร์น เชฟ และกลุ่มบริการและอาหารให้กับผู้โดยสาร
สำหรับแผนการตลาดเจเอ็มเอฟ ซิตี้ มิล บริการส่งอาหารถึงบ้าน ในปีหน้านี้จะขยายสาขาให้ครบ 8 แห่ง จากเดิมมี 2 แห่ง ได้แก่ พหลโยธิน และทองหล่อ ด้วยงบ 3 ล้านบาท และพัฒนาเมนูใหม่ตอบสนองลูกค้าจากปัจจุบันมีทั้งหมด 28 เมนู มุ่งเน้นเมนูอาหารไทยซึ่งเป็นจุดแข็งของซิตี้ มิล คาดว่ายอดขายปีแรก 20 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่ง 2-3% จากธุรกิจบริการส่งอาหารถึงบ้านมูลค่า 1,000 ล้านบาท
ปีหน้านี้บริษัทฯวางงบลงทุนการขยายสาขาทุกกลุ่มธุรกิจ 50 ล้านบาท กลุ่มร้านอาหารคีออสค์เจเอ็มเอฟ ไรซ์ สเตชันจะขยายเพิ่มจาก 26 สาขา เป็น 30-35 สาขา เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่ารายได้ปีหน้าเพิ่มเป็น 380 ล้านบาท โดยแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 40-50% ทุกปี กลยุทธ์ทางการตลาดจะมุ่งเน้นตลาดที่ไม่มีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะในช่องทางห้างสรรพสินค้า เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจอาหารได้
บริษัทฯได้วางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีความชัดเจนมากขึ้น และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการสร้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าและการทำกิจกรรมการตลาดทางตรง เพื่อขยายฐานลูกค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้การใช้งบตลาด 5-6 %ของยอดขาย
ด้านการส่งออกในปีหน้านี้จะขยายตลาดไปยังประเทศตะวันออกกลาง และเพิ่มเมนูให้หลากหลายในประเทศที่ทำตลาดมาแล้ว อาทิ อเมริกา แคนาดา เป็นต้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์อีสเทิร์น เชฟ มากขึ้น จากที่ผ่านมาเป็นการรับจ้างผลิตเป็นหลัก สำหรับผลประกอบการปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 340 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ปีนี้ได้ราว 280 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แบ่งเป็นรายได้จาการส่งออก 65% และภายในประเทศ 35%
นางรัชดา ขอประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท เจ.เอ็ม.อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอาหาร เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯดำเนินธุรกิจรับจัดอาหารมากว่า 25 ปี ล่าสุดได้ขยายไลน์ธุรกิจใหม่เจเอ็มเอฟ ซิตี้ มิล บริการส่งอาหารถึงบ้าน จากเดิมธุรกิจแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการจัดเลี้ยงภายใต้แบรนด์เจเอ็มเอฟ ปาร์ตี้ โซลูชัน กลุ่มร้านอาหารคีออสค์ ฟู้ดคอร์ทในห้างสรรพสินค้าเจเอ็มเอฟ ไรซ์ สเตชัน กลุ่มผลิตอาหารกล่องเจเอ็มเอฟฟูดแอนด์สแนก บอกซ์ กลุ่มอาหารแช่แข็งสำเร็จรูป เบเกอรี่ เจเอ็มเอฟฟูดเซอร์วิส กลุ่มอาหารแช่แข็งส่งออกแบรนด์อีสเทิร์น เชฟ และกลุ่มบริการและอาหารให้กับผู้โดยสาร
สำหรับแผนการตลาดเจเอ็มเอฟ ซิตี้ มิล บริการส่งอาหารถึงบ้าน ในปีหน้านี้จะขยายสาขาให้ครบ 8 แห่ง จากเดิมมี 2 แห่ง ได้แก่ พหลโยธิน และทองหล่อ ด้วยงบ 3 ล้านบาท และพัฒนาเมนูใหม่ตอบสนองลูกค้าจากปัจจุบันมีทั้งหมด 28 เมนู มุ่งเน้นเมนูอาหารไทยซึ่งเป็นจุดแข็งของซิตี้ มิล คาดว่ายอดขายปีแรก 20 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่ง 2-3% จากธุรกิจบริการส่งอาหารถึงบ้านมูลค่า 1,000 ล้านบาท
ปีหน้านี้บริษัทฯวางงบลงทุนการขยายสาขาทุกกลุ่มธุรกิจ 50 ล้านบาท กลุ่มร้านอาหารคีออสค์เจเอ็มเอฟ ไรซ์ สเตชันจะขยายเพิ่มจาก 26 สาขา เป็น 30-35 สาขา เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่ารายได้ปีหน้าเพิ่มเป็น 380 ล้านบาท โดยแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 40-50% ทุกปี กลยุทธ์ทางการตลาดจะมุ่งเน้นตลาดที่ไม่มีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะในช่องทางห้างสรรพสินค้า เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจอาหารได้
บริษัทฯได้วางแผนปรับกลยุทธ์การตลาดให้มีความชัดเจนมากขึ้น และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นการสร้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าและการทำกิจกรรมการตลาดทางตรง เพื่อขยายฐานลูกค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้การใช้งบตลาด 5-6 %ของยอดขาย
ด้านการส่งออกในปีหน้านี้จะขยายตลาดไปยังประเทศตะวันออกกลาง และเพิ่มเมนูให้หลากหลายในประเทศที่ทำตลาดมาแล้ว อาทิ อเมริกา แคนาดา เป็นต้น อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์อีสเทิร์น เชฟ มากขึ้น จากที่ผ่านมาเป็นการรับจ้างผลิตเป็นหลัก สำหรับผลประกอบการปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 340 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ปีนี้ได้ราว 280 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แบ่งเป็นรายได้จาการส่งออก 65% และภายในประเทศ 35%