xs
xsm
sm
md
lg

สัมผัสโรงงานกลุ่มมัตสุชิตะที่ญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มนุษย์และสิ่งแวดล้อมกับธรรมชาติ จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสมดุล ตรงนี้เองเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มบริษัท มัตสุชิตะ อิเลคทริค อินดัสเทรียล จำกัด เจ้าของแบรนด์พานาโซนิค ให้ความสำคัญกับระบบและโรงงานการผลิต การรีไซเคิล เพื่อช่วยลดปัญหาที่สร้างผลกระทบต่อโลก ในภาวะโลกร้อน

เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มบริษัท มัตสุชิตะ อิเลคทริค อินดัสเทรียล จำกัด ได้เปิดโอกาสให้คณะสื่อมวลชนไทยเข้าชมเทคโนโลยีต่างๆทางด้านการผลิตของผลิตภัณฑ์แบรนด์พานาโซนิคที่ญี่ปุ่นเช่น บริษัท มุตสุชิตะ อีโค เทคโนโลยี เซ็นเตอร์หรือเมเทค โรงงานพีดีพี ผลิตจอทีวีพลาสม่า โรงงานผลิตกล้องดิจิตอลพานาโซนิคลูมิกซ์ และพานาโซนิคเซ็นเตอร์กับอียูเฮ้าส์

เริ่มกันที่เมเทค ซึ่งเป็นโรงงานรีไซเคิลขนาดใหญ่ ลงทุนไปประมาณ 2,000 ล้านเยนหรือกว่า 600 ล้านบาท เปิดมาแล้ว 7 ปี เพื่อใช้เป็นศูนย์รีไซเคิลของกลุ่มพานาโซนิคและพันธมิตรอีกหลายราย ซึ่งในญี่ปุ่นก็จะมีอีกกลุ่มที่เป็นพันธมิตรในการทำรีไซเคิลแยกออกจากกลุ่มมัตสุชิต

นายโนบุทากะ ทัตซึมิ ประธานของเมเทค กล่าวว่า โรงงานนี้เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองการอนุรักษ์ธรรมชาติ และให้สอดคล้องกับกฎหมายของญี่ปุ่นที่ประกาศใช้เมื่อปี 2544 ที่เกี่ยวกับการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าจากวัสดุที่ใช้แล้วมารีไซเคิลใหม่

ขณะนี้เริ่มกับสินค้า 4 กลุ่มหลักคือ ทีวี แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ซึ่งสินค้าแต่ละกลุ่มนั้น ก็สามารถรีไซเคิลด้วยการนำเอาวัสดุเก่ากลับมาใช้ใหม่ได้มากน้อยขึ้นอยู่กับอายุของผลิตภัณฑ์นั้นและระบบว่าเป็นอย่างไร แต่เป้าหมายของมัตสุชิตะกำหนดไว้ว่าภายในปี 2553 ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของมัตสุชิตะจะต้องผลิตมาจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด

ปัจจุบันโรงงานเมเทคนี้ มีความสามารถในการทำลายผลิตภัณฑ์เก่าเฉลี่ยดังนี้ ตู้เย็นประมาณ 700 เครื่องต่อวัน แอร์ 500 เครื่องต่อวัน ทีวี 800 เครื่องต่อวัน เครื่องซักผ้า 800 เครื่องต่อวัน หรือรวมประมาณ 2,700-3,000 ยูนิตต่อวัน ในขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นใน 4 กลุ่มดังกล่าวนี้จำเป็นที่จะต้องทำการรีไซเคิลมากกว่า 700,000 เครื่องต่อปี

กฎหมายของญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับรีไซเคิลนี้ระบุไว้ว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย คือผู้ใช้ เมื่อทิ้งจะต้องเสียค่าจัดการ 2.ผู้ซื้อของเก่า รับซื้อแล้วเอามาส่งให้โรงงาน 3.ผู้ทำลายหรือรีไซเคิล ซึ่งทุกกระบวนการล้วนมีค่าใช้จ่ายที่ทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบร่วมกัน

อีกเทคโนโลยีหนึ่งคือ อียูเฮาส์ (Eco & Universal Design House) ที่ตั้งอยู่ในพานาโซนิคเซ็นเตอร์ ที่ช่วยตอกย้ำเองอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกผ่านเทคโนโลยีของมัตสุชิตะ ซึ่งเป็นเหมือนบ้านจำลองที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้คือปี 2553 ซึ่งบ้านหลังนี้หากประเมินเฉพาะค่าเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆแล้วร่วมๆ 30 ล้านบาท เลยทีเดียว

ภายในบ้านจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยี ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพลังงานที่ใช้นั้นส่วนหนึ่งมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่นำเอาพลังงานส่วนหนึ่งที่เกิดจากการเผาผลาญในบ้านหลังนี้เองนำกลับมาใช้ใหม่

ทั้งนี้ในบ้านจำลองหลังนี้แบ่งออกเป็น 8 โซนหลัก เพื่อให้ดูถึงนวัตกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องกินข้าว ห้องน้ำ เป็นต้น ซึ่งแต่ละส่วนก็มีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกัน เช่น ห้องนอนที่เตียงนอนสามารถปรับระดับความอบอุ่นตามร่างกายของคนนอนได้ พร้อมทั้งโทรทัศน์ที่สามารถปิดเองได้เมื่อคนกำลังจะนอน ห้องครัวที่มีลูกเล่นของตู้เก็บจานและตู้เก็บของ ประตูทางเข้าบ้านที่มีระบบความปลอดภัยพร้อมทั้งกล้องวงจรปิดรอบบ้านที่สามารถมองเห็นได้ในทุกมุมมองของบ้านหลังนี้

ขณะที่การชมโรงงานผลิตจอพลาสม่าทีวีก็มีความตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ซึ่งโรงงานที่ไปชมนั้นตั้งอยู่ที่ เมืองอะมาซากิ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงงานที่ 3 และ 4 และเตรียมสร้างโรงงานที่ 5 ในพื้นที่ใกล้กันด้วยงบลงทุนกว่า 800 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ที่ผลิตแต่จอภาพเท่านั้น ขณะที่โรงงานที่ 1 และ 2 นั้นตั้งอยู่ที่เมือง ฮิราบากิ ซึ่งที่ญี่ปุ่นจะเป็นฐานผลิตจอพลาสม่าทีวีที่ใหญ่ที่สุดก่อนส่งไปประกอบยังโรงงานอื่นๆในต่างประเทศที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะมีทั้ง เม็กซิโก เชค สิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งหากรวมกำลังผลิตทั้งหมดจาก 5 โรงงานจะมีกำลังผลิต 2 ล้านชิ้นต่อเดือน

นายชินนิจิ อิโนะอุเอะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท มัตสุชิตะ พลาสม่า ดิสเพลย์ จำกัด ย้ำว่า มัตสุชิตะมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดพลาสม่าทีวีระดับโลก ซึ่งขณะนี้ผลิตจอพลาสม่าใหญ่ที่สุดในโลกได้แล้วคือ 103 นิ้ว แล้ว อีกทั้งยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาการผลิตที่จะลดปริมาณการใช้สารตะกั่วในพลาสม่าทีวีให้น้อยลงจนถึงขั้นสุดท้ายที่ไม่ใช้เลย ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดการใช้ตะกั่วได้ประมาณ 280 ตัน

ในตลาดรวม พลาสม่าทีวีทั่วโลก มีรายใหญ่ประกอบด้วย พานาโซนิค ไพโอเนียร์ ซัมซุง ขณะที่ตลาดทั่วโลกก็มีความต้องการที่สูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พานาโซนิคต้องเพิ่มกำลังผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆให้ดีขึ้น โดยขณะนี้ครองแชร์ประมาณ 30%

สำหรับดีมานด์พลาสม่าทีวีทั่วโลกมีการประเมินกันว่า ปี 2550 จะมีประมาณ 14 ล้านเครื่อง ปี 2551 จะมีประมาณ 20 ล้านเครื่อง และปี 2552 ประมาณ 25 ล้านเครื่อง ขณะที่ปี 2553 จะมีประมาณ 30 ล้านเครื่อง

เสร็จจากโรงงานผลิตจอพลาสม่าก็ถึงคิวของโรงงานผลิตกล้องพานาโซนิคลูกมิกซ์ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองฟูกุชิม่า ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่จะทำให้ลูมิกซ์ก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดกล้องดิจิตอลทั่วโลกได้ตามนโยบายของมัตสุชิตะ ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต 5.5 ล้านเครื่องหรือ 75% ของกำลังผลิตทั้งหมด 3 โรงงานของพานาโซนิค

จุดเด่นที่พานาโซนิคนำเสนอในการรุกตลาดกล้องดิจิตอลก็คือ โหมดอัจฉริยะที่สามารถเลือกโหมดการถ่ายภาพได้เองโดยอัติโนมัติ เลนส์ซูมกว้าง 28 มม. ความคมชัดของภาพแม้ภาพจะสั่นไหว และปีนี้ก็ได้พัฒนากล้องรุ่นใหม่เตรียมเปิดตัวอีกหลายรุ่น เช่น เอฟเอ็กซ์ 33 ขนาด 8 ล้านพิกเซล เอฟเอ็กซ์ 55 ขนาด 8 ล้านพิกเซล จอแอลซีดี 3 นิ้ว รุ่นเอฟแซด 18 ขนาด 8 ล้านพิกเซล ออฟติคอลซูม 18 เท่า

พานาโซนิคเตรียมที่จะรุกตลาดกล้องดิจิตอลอย่างหนัก เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของตลาดและความต้องการของตลาดโลกที่มีอยู่สูงเช่นเดียวกับทีวีพลาสม่า โดยประเมินว่า ความต้องการตลาดทั่วโลกของกล้องดิจิตอลในปี 2550 อยู่ที่ 90 ล้านยูนิต ปี 2551 เพิ่มเป็น 91.9 ล้านยูนิต ปี 2552 เพิ่มเป็น 92.5 ล้านยูนิต และเพิ่มเป็น 93 ล้านยูนิตในปี 2553

ขณะที่ตลาดในประเทศไทยนั้น พานาโซนิคยังอยู่อันดับที่ 5 ด้วยแชร์ 8% ขณะที่โซนี่รั้งผู้นำด้วยส่วนแบ่ง 22% โดยพานาโซนิคตั้งเป้าหมายว่าปีงบประมาณ 2550 นี้จะต้องทำแชร์ให้ได้ถึง 15% เพื่อขยับตำแหน่งสู่ที่ 3-4 ให้ได้

เมื่อพานาโซนิคมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีไม่แพ้ใคร จากนี้ไปก็อยู่ที่เกมการตลาดแล้วว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น