พรีมาไทม์ ฯ รวมกำลังผนึก โชพาร์ด นาฬิกาหรูสวิตเซอร์แลนด์ส่งรุ่นลิมิเต็ด ผุดครั้งแรกในเอเชีย ฉลอง 80 พรรษา พร้อมอวดยอดขายครึ่งปีแรก โต 5% สวนเศรษฐกิจ ชี้นาฬิการาคาแพงยังขายดี เหตุไฮโซแห่ซื้อนาฬิกาลงทุนสะสม พร้อมระบุแผนเตรียมนำเข้าแบรนด์หรู ทำตลาดต่อ รับอัตราโตในไทยยอดขายติดอันดับ 2 เอเชีย
นายณรัน ธรรมาวรานุคุปต์ รองประธานบริษัท พรีมาไทม์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาชื่อดัง อาทิ แบรนด์ โชพาร์ด และแบรนด์ ปาเต๊ะ ฟิลิปส์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ร่วมกับ Chopard SA.โชพาร์ดจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ผลิตนาฬิกาของแบรนด์รุ่น พิเศษ (ลิมิเต็ด เอ็ดดิชั่น)ออกมาทำตลาดเป็นครั้งแรกในเอเชีย
โดยความพิเศษของนาฬิการุ่นนี้จัดทำมาทั้งหมด 3 รุ่น สำหรับผู้ชายและผู้หญิง มีเพียง 289 เรือน ระดับราคาเริ่มที่ 99,999- 388,000 บาท มีความโดดเด่นที่ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติจัดทำเนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘0 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านมาการทำตลาดของนาฬิกาแบรนด์โชพาร์ด จะออกคอลเลคชั่นที่เป็นลิมิเต็ดนั้น จะจัดทำน้อยมากจากที่ได้ทำตลาดมาแล้วกว่า 25 ปี
ทั้งนี้การทำรุ่นลิมิเต็ดออกมาทำตลาดเชื่อว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และเป็นการโปรโมตสินค้าได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้สินค้ามีให้ลูกค้าสั่งจอง ไปถึง 1ใน 3 ของสินค้าทั้งหมด ทั้งคนไทยและต่างชาติ
นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเจรจากับนาฬิกาแบรนด์ดังจากต่างประเทศเพิ่มอีก 5-6 แบรนด์แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนได้ ขณะเดียวกันในปัจจุบันบริษัทฯได้มีการนำเข้าสินค้าทั้งสิ้น 6-7 แบรนด์ สำหรับสาเหตุที่บริษัทฯจะนำแบรนด์สินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเนื่องจากได้เล็งเห็นศักยภาพในตลาดนาฬิการะดับไฮเอนด์มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 10% อย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเป็นตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“โดยกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้ามีเพิ่มมากขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์มีการเติบโตที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เมื่อมองสภาพเศรษฐกิจโดยรวมดังนั้นการนำเข้าสินค้าใหม่และการออกคอลเลคชั่นใหม่สู่ตลาดเชื่อว่าจะสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะเป็นการกระตุ้นตลาดได้อีกวิธีหนึ่ง ที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพในการขายนาฬิกามียอดขายเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากประเทศสิงค์โปร์”
สำหรับในครึ่งปีแรก บริษัทฯพบว่าอัตราการเติบโตโดยรวมมีเพิ่มมากขึ้น 5% โดยนาฬิกาที่มีราคาสูงตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป มียอดขายดีขึ้น หรือเติบโต 10-15% เพราะผู้ที่มีเงินจะนิยมซื้อเพื่อสะสม รวมทั้งลงทุน เนื่องจากนาฬิกาจะมีมูลค่าเพิ่มทุกปี ซึ่งมากกว่าได้รับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคาร ในขณะที่ต้องยอมรับว่านาฬิกาที่มีราคาต่ำกว่า 300,000 บาท บริษัทฯก็มียอดขายลดลง 10-15% เป็นผลจากผู้บริโภคระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากการเลือกตั้ง จะทำให้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมั่นใจและกล้าใช้จ่าย เพราะยังมีความต้องการอยู่มาก ส่วนรายได้รวมบริษัทฯในสิ้นปีนี้คาดเติบโตตามเป้าหมาย 5-10%
ด้านเงินบาทที่แข็งค่า จะส่งผลให้นาฬิกานำเข้ามีต้นทุนถูกลง แต่นาฬิการะดับหรูหราจากสวิตฯ จะขึ้นราคาทุกปีเฉลี่ย 3-5% ดังนั้น ต้นทุนที่ถูกลงจึงสมดุลกับราคาที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถลดราคาตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้