คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาลูกหลานของตระกูลนักธุรกิจระดับบิ๊กของเมืองไทยจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหาร เพื่อสืบทอดกิจการของครอบครัว แต่ก็มีทายาทตระกูลดังบางคนที่มุ่งมั่นกับการปลุกปั้นธุรกิจของตัวเองมากกว่าจะเติบโตอยู่ภายใต้ร่มเงาของตระกูล ที่สำคัญเธอเหล่านั้นเป็นหญิงสาวร่างบอบบางที่ลงมือก่อร่างธุรกิจด้วยหนึ่งสมองและสองมือ
วรรณพร (ล่ำซำ) พรประภา หรือ “ปุ้ย” กรรมการผู้จัดการบริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด บุตรสาวคนที่ 2 ของ โพธิพงษ์ และยุพา ล่ำซำ
หลายคนอาจแปลกใจที่ทายาทตระกูลดัง ซึ่งก่อตั้งธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เช่น วรรณพร ตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางศิลปะ มาเป็นภูมิสถาปนิก (Landscape Architect) แทนที่จะนั่งตำแหน่งบริหารในธุรกิจการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว โดยเธอเริ่มเดินตามความฝันด้วยการเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากจบออกมาก็ได้ทำงานกับ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เดชา บุญคำ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทด้านภูมิสถาปัตยกรรม ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ความจริงตอนจบจากจุฬาฯ ใหม่ๆ คุณพ่อก็เคยให้ไปฝึกงานที่ภัทรเรียลเอสเตท ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของครอบครัว แต่ดิฉันไม่ค่อยสนใจงานประเภทนี้เลย ครอบครัวก็น่ารักมาก... สนับสนุนให้เราทำงานที่ชอบ คือ คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับหรือหว่านล้อมว่าต้องมาสานต่อกิจการ อาจจะเห็นว่าดิฉันไม่มีแววทางธุรกิจ พี่สาว (นวลพรรณ ล่ำซำ) และน้องชาย (สาระ ล่ำซำ) ก็ไม่มีใครบอกว่าปุ้ยต้องมาช่วยธุรกิจในครอบครัว คุณพ่อกับคุณแม่จะบอกเสมอว่าอยากทำอะไรก็ได้ แค่ขอให้มีอาชีพสุจริตที่เลี้ยงตัวเองได้ ก็เลยได้มาทำงานที่ชอบซึ่งเกี่ยวกับการออกแบบภายนอกอาคารตั้งแต่การวางผังแม่บท วางอาคาร ถนน ระดับ สระว่ายน้ำ สวน และองค์ประกอบอื่นๆ รวมถึงการส่งเสริมและรักษาสภาพแวดล้อมในแต่ละโครงการ”
บริษัท พี แลนด์สเคป จำกัด ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เธอออกตัวว่าที่ธุรกิจของเธอเติบโตมาได้ถึงทุกวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำแนะนำของคุณอา (รุจิราภรณ์ หวั่งหลี นักออกแบบตกแต่งภายใน) รวมถึงการสนับสนุนจากครอบครัว ญาติๆ เพื่อนฝูง ผู้ที่เคยร่วมงานด้วย และทีมงาน จากงานออกแบบเล็กๆ ในช่วง 3-4 ปีแรกที่มีพนักงานเพียงไม่กี่คน จึงเริ่มขยายไปสู่การออกแบบด้านภูมิสถาปัตยกรรมให้แก่โรงแรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศในเวลาต่อมาจนปัจจุบันมีพนักงานร่วม 40 คน
ด้วยชื่อเสียงซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการทำให้ บริษัท พี แลนด์สเคป ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท โรงแรม และรีสอร์ตชื่อดังต่างๆ มากมายในประเทศไทย เช่น โรงแรม Oriental, Millennium Hilton, Grand Hyatt Erawan, Sila Evason สมุย และที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง เช่น Park Hyatt ภูเก็ต, Kempinski เขาหลัก, W Retreat สมุย, Phulay Beach Resort กระบี่ เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศ เช่น โรงแรมในเครือ Hilton-Conrad, Oberoi, J.W. Marriott, Park Hyatt, ทั้งในอินเดีย มัลดีฟส์ ฮ่องกง จีน บาหลี คูเวต โอมาน หมู่เกาะฟิจิ เป็นต้น
“บริษัทเปิดมาได้ 3-4 ปีก็มีโอกาสได้ไปทำงานภูมิสถาปัตยกรรมให้กับโรงแรม The Trident Hilton Gurgaon ในเครือ Oberoi ที่ประเทศอินเดีย จากนั้นก็มีงานจากโรงแรมและรีสอร์ททั้งในและต่างประเทศเข้ามาเยอะมาก ช่วงนี้ก็พยายามกลับมารับงานในประเทศมากขึ้นเพราะครอบครัวบ่นว่าไม่ค่อยอยู่บ้าน (หัวเราะ) แล้วก็อยากมีเวลาให้กับคุณพ่อ คุณแม่ สามี (ปราโมทย์ พรประภา) และลูกสาว รวมทั้งตัวเองมากขึ้น นอกจากนั้นโดยส่วนตัวยังอยากจะสร้างงานภูมิสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปไทยและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราคุ้นเคย”
วรรณพร ยังให้มุมมองว่า ปัจจุบันบุคลากรด้านภูมิสภาปัตยกรรมนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากเนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างเนื่อง โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ในขณะที่บุคลากรในวิชาชีพนี้ยังมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นธุรกิจนี้จึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจทีเดียว
เลลาณี เจียรวนนท์ เจ้าของร้าน RED DUCK และธุรกิจเรือสำราญ “นารา” ลูกสาวคนเก่งของ ดร.ประทีป เจียรวนนท์ กับ เชอรรี่ สมิธ หนึ่งในหลานสาวเจ้าสัวซีพี ก็เป็นอีกหนึ่งในทายาทตระกูลดังที่แยกออกมาทำธุรกิจส่วนตัว
แม้ครอบครัวจะเป็นเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของเมืองไทย แต่สาวหน้าใสวัย 29 ปีคนนี้กลับเลือกที่ก้าวออกจากร่มเงาของตระกูลเพื่อตั้งต้นลงรากธุรกิจของตัวเอง โดยหลังจากจบปริญญาโท สาขา Educational Management จาก Melbourne University ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2543 เลลาณี ก็เริ่มบุกเบิกธุรกิจเรือสำราญเช่าเหมาลำที่ จ.ภูเก็ต ภายใต้ชื่อ “นารา” อย่างจริงจัง ด้วยจุดเด่นด้านการบริการที่ตรงใจ สามารถจัดกิจกรรมได้หลากหลายตามแต่ความต้องการของลูกค้า ทำให้ได้รับเสียงตอบรับจากบรรดากรุ๊ปทัวร์และกลุ่มสัมมนาซึ่งเป็นลูกค้าหลักของเรือนาราเป็นอย่างดี ส่งผลให้เรือนาราเติบโตอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิในช่วงปลายปี 2546 ก็ถาโถมธุรกิจเรือนาราให้สั่นคลอนชะงักงันไปพร้อมกับธุรกิจท่องเที่ยวของภูเก็ต แม้จะท้อแท้กับอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิตแต่กำลังใจจากคุณพ่อทำให้เลลาณีลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วยการเปิดร้าน “RED DUCK” ร้านอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ซึ่งแปลกใหม่ด้วยบริการแนวฟาสต์ฟู้ดที่เน้นการบริการอันรวดเร็วตอบสนองวิถีชีวิตอันเร่งรีบของคนเมือง โดยปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขาด้วยกันคือ ห้างเมเจอร์ รัชโยธิน, ห้างเซนจูรี(อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) และที่สุขุมวิท 33
“เรามองว่าปัจจุบันเมืองไทยยังไม่มีร้านอาหารจีนสไตล์ฟาสต์ฟูดเลยทั้งที่คนจำนวนไม่น้อยชื่นชอบอาหารจีน แปลว่า มันยังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ เราเลยเข้ามาจับตรงนี้ เป็นอาหารสไตล์ฮ่องกง พวกเป็ดปักกิ่ง หมูกรอบ หมูแดง บะหมี่ฮ่องกง ข้าวผัด สลัด ผัดผัก ส่วนราคาก็กลางๆ เป็นราคาที่วัยรุ่น วัยทำงาน สามารถซื้อได้ คือ ตั้งแต่ 50, 69, 79 ไปจนถึง 100 ต้นๆ หรือหากมากันเป็นครอบครัวก็จ่ายได้สบายๆ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วเราถูกกว่าฟาสต์ฟู้ดที่เป็นแฟรนไชน์จากเมืองนอกอีกนะ ส่วน area จะมุ่งไปที่ห้างสรรพสินค้าเพราะเราเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟูด ถึงวันนี้ก็เกือบ 3 ปีแล้ว ช่วงนี้ยอดขายดีมาก เลยวางเป้าหมายว่าจะขยายอีกหลายสาขา”
เลลาณี บอกว่า การลงมือก่อร่างธุรกิจด้วยตัวเอง แก้ปัญหาที่พบเจอไปที่ละขั้นละตอน และได้มองดูความเติบโตของธุรกิจในแต่ละวัน นับเป็นภาคภูมิใจที่เงินซื้อไม่ได้ แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้างแต่ทุกครั้งที่หวนคิดถึงคำพูดของพ่อก็ทำให้เธอมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ
“คือ พ่อกลัวว่า ปัญหาที่เจอจะทำให้เราท้อจนไม่กล้าทำธุรกิจอะไรอีก พ่อจะพูดเสมอว่าไม่เป็นไร ตระกูลเราก็เริ่มมาจากศูนย์ สมัยอากงเริ่มค้าขายเมล็ดผักที่เยาวราช วันแรกได้เงินแค่ 40 บาทนะ กว่าธุรกิจเครือซีพีจะเติบโตมาถึงวันนี้ก็ต้องอาศัยความขยันอดทน”
หลังจากร้านอาหาร “RED DUCK” ประสบความสำเร็จเลลาณีจึงเริ่มมองหาลู่ทางทางธุรกิจใหม่ๆด้วยการขยายไลน์สินค้าออกไปอีกโดยเตรียมจะเปิด “เรด ดักค์ เคเทอริ่ง” รุกคืบไปสู่ธุรกิจจัดส่งอาหารและของว่างให้แก่งานอีเวนต์และงานสัมมนาต่างๆ ขณะที่ธุรกิจเรือนาราซึ่งชะลอตัวไปพักหนึ่งก็จะเริ่มทำโปรโมชั่นใหม่อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้
ด้าน “อุ้ย” สุทัศนีย์ คุนผลิน เจ้าของร้านเพชร JOAI ลูกสาวคนสวยของ วรศักดิ์ และบงกช คุนผลิน เจ้าของธุรกิจเรียลเอสเตทชื่อดัง เธอมั่นใจกับการสร้างอนาคตด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าออกจากรั้วมหาวิทยาลัย
หลังจากจบการศึกษาด้าน Political Science & International Relations จาก American University ประเทศสหรัฐอเมริกา คุณอุ้ยได้เข้าทำงานที่ศาลปกครองในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พนักงานศาลด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งก็ตรงกับความชอบส่วนตัว เพราะเธอมีความสนใจเรื่องกฎหมายและการเมืองมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อโอกาสมาถึงประกอบกับเป็นหญิงสาวที่ชื่นชอบแฟชั่นอยู่แล้วสุทัศนีย์จึงตัดสินใจเปลี่ยนงานออกมาเป็นประชาสัมพันธ์ให้กับแบรนด์ดังอย่างดิออร์ ซึ่งนับเป็นการจุดประกายให้เธอก้าวเข้าสู่ธุรกิจจิวเวลรีในเวลาต่อมา เพราะที่นี่ทำให้เธอเข้าใจเรื่องเทรนด์แฟชั่น การสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้า และทำการประชาสัมพันธ์
“พอทำงานให้ดิออร์ได้สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเราน่าจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และด้วยความที่ชอบแฟชั่นก็คิดว่าน่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไรที่สวยๆ งามๆ มีวันหนึ่งไปเจอคลิปปิ้งข่าวเกี่ยวกับเครื่องประดับที่เคยตัดเก็บไว้ แล้วเมื่อก่อนก็เคยคิดว่าถ้ามีเงินอยากจะทำจิวเวลรี่ใส่เอง ก็เลยคลิ๊กว่านี่แหละคือธุรกิจที่เหมาะกับเรา จึงเกิดเป็นร้านขายเพชร JOAI จนถึงวันนี้ก็ปีหนึ่งแล้ว คือตอนแรกเราลองออกแบบและทำขายเพื่อนๆ ปรากฏว่า ขายได้เลยลองเอาไปฝากขายตามร้าน ยอดขายก็ดีอีก ทีนี้เลยออกแบรนด์ของตัวเอง”
ปัจจุบัน JOAI มีอยู่ 2 สาขา คือ ที่สยามพารากอน และที่ห้างเอ็มโพเรียม ด้วยดีไซน์ที่เก๋ไม่ซ้ำใครทำให้เครื่องประดับของ JOAI เข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยความที่เป็นสินค้าที่เคลื่อนไหวตามเทรนด์แฟชั่นจึงต้องมีการดีไซน์แบบใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา อีกทั้งยังเริ่มมีสินค้าที่มีลักษณะคล้ายๆ กันออกมาวางขาย ทำให้คุณอุ้ยต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อแข่งขันกับสินค้าในไลน์เดียวกัน นอกจากงานด้านดีไซน์แล้วเธอยังดูแลงานต่างๆ เองเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำประชาสัมพันธ์ ออกเคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย รับออเดอร์ เคลียร์ภาษี ไปจนถึงการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ
“จิวเวลรีเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง เราก็ต้องเหนื่อยหน่อย แต่อุ้ยคิดว่าถ้าคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ถ้าเจออุปสรรคก็พยายามแก้ไขให้เร็วที่สุด อุ้ยโชคดีอย่างที่คุณพ่อไม่เคยบังคับว่าเรียนจบแล้วต้องกลับมาทำธุรกิจของครอบครัวนะ เลยได้ทำงานที่ชอบ คือ คุณพ่อจะบอกเสมอว่าชีวิตเป็นของลูก อยากได้อะไรก็ไปคว้ามา” สุทัศนีย์ บอกด้วยความภาคภูมิใจ
อีกหนึ่งสาวที่หันมาจับธุรกิจของตัวเองด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการเติบโตอยู่ภายใต้ธุรกิจครอบครัว ม.ร.ว.สุทธิภาณี ยุคล หรือ “หญิงนุ่น” บุตรสาวท่านมุ้ย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้สร้างและกำกับภาพยนตร์ชื่อดัง กับ ภรณี เจตสมมา หญิงแกร่งแห่งวงการโฆษณา
หญิงนุ่นเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านฟลามิงโก( Flamingo) ร้านเสื้อสไตล์นิวเอจวินเทจ ที่สยามสแควร์ ซอย 2 ซึ่งเกิดจากการร่วมหุ้นระหว่างพี่ๆ น้องๆ ในสกุลยุคล อันได้แก่ “หญิงแอ” ม.ร.ว.จันทรลัดดา “หญิงน้อย” ม.ร.ว.นิภานพดารา “หญิงแมงมุม” ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง น้องสาวแท้ๆ (บุตรสาว ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล -หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา) และเพื่อนสนิท ศิริสุดา โกมุทบุตร
“ที่เลือกทำร้านเสื้อสไตล์นี้ เพราะพวกเราชอบแฟชั่นกันเหมือนกัน แล้วหญิงแอซึ่งเป็นดีไซนเนอร์ของร้านเขาเป็นคนชอบเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ แต่ว่าไม่ใช่วินเทจแบบดั้งเดิมนะเพราะมันดูโบราณเกินไป ก็เลยมาลงตัวที่สไตล์นิวเอจวินเทจ ส่วนลูกค้าจะเป็นกลุ่มสาวๆ วัยทำงาน อายุ 20 ต้นๆ ไปจนถึง 30 ปลายๆ เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดีนะ เพราะเป็นแนวที่ไม่ซ้ำกับใคร ตอนนี้เราเพิ่มเสื้อยืดลายปักซึ่งกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษาจะชอบมาก ร้านก็แบ่งกันชัดเจนว่าใครทำหน้าที่อะไร อย่างนุ่นจะคุมเรื่องบัญชีเป็นหลัก”
นอกจากธุรกิจร้านเสื้อผ้าแล้ว ม.ร.ว.สุทธิภาณี ยังมีงานประจำที่องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดหาทุน ซึ่งเป็นงานที่เธอชอบมากเพราะรู้สึกถึงความอิ่มใจที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม ก่อนหน้านี้ หญิงนุ่นเคยผ่านมาด้านการตลาดและงานโฆษณามามากมายแต่วันหนึ่งกลับเกิดคำถามขึ้นในใจว่าเธอทำงานเหล่านั้นไปเพื่ออะไร การทุ่มเทเวลาและแรงกายแรงใจกับงานที่ทำนั้นก่อประโยชน์ให้แก่สินค้าหรือผู้บริโภคกันแน่ เธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ในยูนิเซฟทันทีที่เห็นข่าวการรับสมัครในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
หญิงนุ่น ยังบอกถึงเหตุผลที่ไม่ต้องการทำงานในธุรกิจของครอบครัวว่า
“ที่ผ่านมา นุ่นไม่เคยคิดจะไปทำหนังกับคุณพ่อหรือไปทำงานที่บริษัทของคุณแม่ ทั้งที่ความจริงนุ่นเรียนจบด้านภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นะ แต่คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับวงการหนังไทย แล้วถ้าเราเป็นผู้กำกับหนังก็ต้องถูกมองว่าเป็นผู้กำกับได้ เพราะ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล คือต่อให้เราทำหนังออกมาดีขนาดไหนยังไงเราก็ยังอยู่ใต้เงาของพ่อ นุ่นอยากจะเดินไปตามทางที่เราเลือกเอง อาจจะล้มบ้าง ประสบความสำเร็จบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่เราเลือก แล้วนุ่นเองก็จะสอนน้องๆเสมอว่าทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาฟรีนะ คือมีสมบัติ วันหนึ่งก็หมดได้ สามีรวย เขาอาจจะทิ้งเราไปก็ได้ อะไรก็ตามเราต้องหามาด้วยตัวเอง ถ้าเราเลี้ยงตัวเองได้เราก็จะเห็นคุณค่าของตัวเอง ตอนนี้ร้านเสื้อของเราก็เริ่มจากเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำกันไป แล้วค่อยขยับขยายในเวลาที่เหมาะสม”
เรื่อง – จินดาวรรณ สิ่งคงสิน