xs
xsm
sm
md
lg

“วิ-นาสเร”ขุดทองเครื่องสำอางในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสมพล ยศวิริยะพาณิชย์ (ซ้าย)
  แนวโน้มตลาดเครื่องสำอาง ยังหมุนล้อเดินหน้าได้เรื่อยๆ จากการขับเคลื่อนของกลุ่มไฮเอนด์ และแมสเป็นหัวหอก “วิ-นาสเร” เครื่องสำอางสุดหรู จากแดนซากุระ สบช่องขุดทองในไทย ทุ่ม 100 ล้าน ผุด บริษัท เมญ่า (ประเทศไทย) จำกัด ดูการขาย นอกเขตญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก พุ่งเป้ามัดใจ กลุ่มคนดัง ดารา และไฮโซ โดยเฉพาะ มั่นใจสิ้นปี นั่งนับเงินเข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

นายสมพล ยศวิริยะพาณิชย์ ผู้จัดการภูมิภาค – ภาคพื้นเอเชีย Regional – Far East บริษัท เมญ่า (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอางระดับท๊อปไฮเอนด์ แบรนด์ “วิ-นาสเร”จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า แม้ทิศทางของตลาดรวมเครื่องสำอางปีนี้ อาจจะมีการเติบโตทรงตัว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ และการเมืองยังไม่แน่นอน แต่หากมองลึกลงไปในแต่ละเซกเม้นต์แล้ว กลับพบว่ามีบางเซกเม้นต์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เซกเม้นต์ระดับไฮเอนด์สูงสุด มูลค่า 2,000 ล้านบาท ยังคงเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30% หรือระดับแมส ซึ่งมีส่วนแบ่งใหญ่สุดกว่า 80-85% จากตลาดรวม ยังคงเติบโตขึ้นเท่าตัวเช่นกัน

ส่งผลให้เครื่องสำอาง “วิ-นาสเร” ซึ่งเป็นเครื่องสำอางระดับไฮเอนด์สูงสุด จากประเทศญี่ปุ่น มั่นใจที่จะลงทุนทำตลาดในไทยในปีนี้ตามแผนที่วางไว้ โดยทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ก่อตั้ง บริษัท เมญ่า (ประเทศไทย) จำกัดขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และทั่วภูมิภาคเอเชีย เพราะจากการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีศักยภาพด้านการซื้อเครื่องสำอาง มีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาท จากจำนวนผู้ซื้อกว่า 18 ล้านคน

“การร่วมทุนครั้งนี้ เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท เมญ่า ประเทศไทย ถือหุ้น 51% และเมญ่า คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น 49% โดยเมญ่าไทยจะดูแลทางด้านการทำตลาดและการขายของเครื่องสำอาง วิ-นาสเร นอกประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด ทั้งในไทยเองและประเทศอื่นๆอีก 4 ประเทศในเอเชียอีก 3 ปีนับจากนี้ คือ ไต้หวัน จะเริ่มทำตลาดไตรมาส 2 ปี 2551 ตามด้วย สิงคโปร์ ในช่วงปลายปี 2551  รวมถึงจีน และมาเลเซีย ที่จะทำตลาดต่อไป โดยมีฐานการผลิตอยู่ที่ญี่ปุ่นที่เดียว”

เบื้องต้นสำหรับการทำตลาดในไทย จากการที่ “วิ-นาสเร” ยังเป็นแบรนด์ใหม่สำหรับคนไทยอยู่ ดังนั้นจะเน้นการสร้างตลาดขึ้นมาเองก่อนเป็นหลัก มุ่งเน้นกลยุทธ์แบบปากต่อปาก สร้างกิจกรรมให้เป็นที่รู้จัก และการสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อนิตยสาร หนังสือพิมพ์ เจาะกลุ่มสังคมไฮโซ ดารา นักการเมือง และบุคคลที่มีชื่อเสียง เฉลี่ยอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป พร้อมสร้างฐานลูกค้าใหม่ เช่น กลุ่มเด็ก ตั้งแต่ช่วงอายุ 20-30 ขณะเดียวกันจะเน้นกลุ่มลูกค้าคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยที่มีกว่า 4 แสนคน ที่คาดว่าจะเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญที่ส่วนหนึ่ง

โดยจะเริ่มนำสินค้ามาวางจำหน่ายตั้งแต่เดือน กันยายน เป็นต้นไป ผ่านบิวตี้มอลล์ ของทาง เดอะมอลล์ กรุ๊ป ใน 3 สาขาปีนี้ คือ เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และสยามพารากอน และในปีหน้าจะเปิดเพิ่มให้ครบ 4-5 สาขา เบื้องต้นนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายเพียง 5 เอสเคยู ในกลุ่มสกินแคร์ และจะเพิ่มเป็น 10 เอสเคยู ในสิ้นปี 2550 โดยสินค้าสำหรับผู้ใหญ่เริ่มต้นที่ 20,000 บาท ขึ้นไปต่อ 1 เซต และเด็กจะอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ซึ่งขณะนี้มีออเดอร์จองสินค้าแล้วกว่า 100 ราย เฉลี่ยคนละ 21,250 บาทต่อ 1 เซ็ต คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายสู่เป้า 50 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ได้ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า 1-2 ปี นับจากนี้ จะต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทแน่นอน

กำลังโหลดความคิดเห็น