ดาน่อน ได้ฤกษ์รุกแดรี่ โปรดักส์ปลายปีนี้ หลังประกาศร่วมทุนดัชมิลล์มานาน เทงบเพิ่ม 15% รุกตลาดน้ำแร่เต็มสูบ โหนกระแสสุขภาพขยายฐานลูกค้าคนไทย ผนึกสปา-ฟิตเนสอัดโปรโมชันรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมดันขนาด 1.5 ลิตรเจาะครอบครัว ตั้งเป้า 3-5 ปี ลูกค้าคนไทยขยับเป็น 50% สิ้นปียอดขายโต 20%
นายมรุต ชมภูทีป กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาน่อน วอเตอร์ (เอเชีย) พีทีอี จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำแร่ธรรมชาติเอเวียง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ดัชมิลล์ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทดาน่อน ผู้ผลิตอาหารนมของโลกจากประเทศฝรั่งเศส จัดตั้งบริษัทดาน่อน แดรี่ ประเทศไทย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในช่วงปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ลงสู่ตลาดในกลุ่มแดรี่โปรดักส์ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวเคยทำตลาดโยเกิร์ตภายใต้แบรนด์ดาน่อนและได้หยุดทำตลาดมากกว่า 5 ปีแล้ว
ส่วนด้านกลุ่มน้ำแร่เอเวียงปีนี้บริษัทจะดำเนินการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น โดยจะขยายฐานลูกค้ามาสู่กลุ่มเป้าหมายคนไทยเพิ่มขึ้น จากเดิมกลุ่มเป้าหมายน้ำแร่เอเวียงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและนักธุรกิจในสัดส่วนถึง 65-70% ส่วนคนไทย 30-35% ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี สัดส่วนกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 50 % และต่างประเทศ 50%
สำหรับแผนการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าคนไทย บริษัทจะทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ โดยมีการทำโปรโมชันร่วมกับสปาและฟิตเนสเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังวางแผนจัดกิจกรรมและโปรโมชัน ผ่านช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น แตกต่างจากเดิมการทำโปรโมชันหรือกิจกรรม จะเน้นผ่านช่องทางโรงแรมและร้านอาหารระดับไฮเอนด์เป็นหลัก
อีกทั้งบริษัทยังวางแผนผลักดันขนาดบรรจุภัณฑ์ 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดสำหรับครอบครัวสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนไทย จากปกติขนาด 500 มล.จะเป็นขนาดที่จำหน่ายดีที่สุดสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างประเทศ ส่วนปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวบรรจุภัณฑ์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันขนาด 1 ลิตรจำหน่าย เพื่อสร้างสีสันให้กับตลาด
พร้อมกันนี้ยังเน้นการสื่อสารน้ำแร่เอเวียงถึงผู้บริโภค ว่าเป็นน้ำแร่นำเข้าจากฝรั่งเศส โดยตอกย้ำการรับรู้ถึงความเป็นน้ำบริสุทธิ์จากเทือกเขาแอลป์ประเทศฝรั่งเศส เพื่อสร้างความแตกต่างจากน้ำแร่ทั่วไป เนื่องจากเอเวียงขนาด 330 มล. ราคา 30 บาท เมื่อเทียบกับน้ำแร่ทั่วไปภายในประเทศมีราคาสูงกว่า 4 เท่าตัว ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบด้านการนำเข้า ดังนั้นจึงนำงบที่เหลือมาดำเนินการตลาดมากขึ้น
“ผลพวงจากภาวะโลกร้อนมีผลทำให้น้ำแร่จากฝรั่งเศสมีปริมาณที่น้อยลง โดยพบว่าในช่วง 2-3 ปี ปริมาณน้ำแร่นำเข้าลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันซัปพลายขาดแคลน บริษัทได้สต็อกสินค้าไว้บ้างแล้ว”
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำแร่ 700-800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7-8% ของตลาดน้ำดื่มโดยรวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% เนื่องจากคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยผลประกอบการปีนี้เอเวียงตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 15-20% ปัจจุบันเอเวียงมีส่วนแบ่ง 10% จากตลาดน้ำแร่โดยรวม ส่วนตลาดน้ำแร่นำเข้าคิดเป็นมูลค่า 16 ล้านบาท หรือราว 1-2% ของตลาดน้ำแร่ เอเวียงเป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง 70-80% โดยปัจจุบันเอเวียงประเทศไทยมียอดขายเป็นอันดับสองในเซาท์อีสเอเชียรองจากประเทศสิงคโปร์ ส่วนอันดับสามเป็นประเทศเขมร
นายมรุต ชมภูทีป กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาน่อน วอเตอร์ (เอเชีย) พีทีอี จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำแร่ธรรมชาติเอเวียง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ดัชมิลล์ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทดาน่อน ผู้ผลิตอาหารนมของโลกจากประเทศฝรั่งเศส จัดตั้งบริษัทดาน่อน แดรี่ ประเทศไทย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในช่วงปลายปีนี้ มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ลงสู่ตลาดในกลุ่มแดรี่โปรดักส์ หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทดังกล่าวเคยทำตลาดโยเกิร์ตภายใต้แบรนด์ดาน่อนและได้หยุดทำตลาดมากกว่า 5 ปีแล้ว
ส่วนด้านกลุ่มน้ำแร่เอเวียงปีนี้บริษัทจะดำเนินการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น โดยจะขยายฐานลูกค้ามาสู่กลุ่มเป้าหมายคนไทยเพิ่มขึ้น จากเดิมกลุ่มเป้าหมายน้ำแร่เอเวียงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและนักธุรกิจในสัดส่วนถึง 65-70% ส่วนคนไทย 30-35% ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี สัดส่วนกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 50 % และต่างประเทศ 50%
สำหรับแผนการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าคนไทย บริษัทจะทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ โดยมีการทำโปรโมชันร่วมกับสปาและฟิตเนสเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังวางแผนจัดกิจกรรมและโปรโมชัน ผ่านช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น แตกต่างจากเดิมการทำโปรโมชันหรือกิจกรรม จะเน้นผ่านช่องทางโรงแรมและร้านอาหารระดับไฮเอนด์เป็นหลัก
อีกทั้งบริษัทยังวางแผนผลักดันขนาดบรรจุภัณฑ์ 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นขนาดสำหรับครอบครัวสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนไทย จากปกติขนาด 500 มล.จะเป็นขนาดที่จำหน่ายดีที่สุดสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างประเทศ ส่วนปลายปีนี้บริษัทจะเปิดตัวบรรจุภัณฑ์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันขนาด 1 ลิตรจำหน่าย เพื่อสร้างสีสันให้กับตลาด
พร้อมกันนี้ยังเน้นการสื่อสารน้ำแร่เอเวียงถึงผู้บริโภค ว่าเป็นน้ำแร่นำเข้าจากฝรั่งเศส โดยตอกย้ำการรับรู้ถึงความเป็นน้ำบริสุทธิ์จากเทือกเขาแอลป์ประเทศฝรั่งเศส เพื่อสร้างความแตกต่างจากน้ำแร่ทั่วไป เนื่องจากเอเวียงขนาด 330 มล. ราคา 30 บาท เมื่อเทียบกับน้ำแร่ทั่วไปภายในประเทศมีราคาสูงกว่า 4 เท่าตัว ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบด้านการนำเข้า ดังนั้นจึงนำงบที่เหลือมาดำเนินการตลาดมากขึ้น
“ผลพวงจากภาวะโลกร้อนมีผลทำให้น้ำแร่จากฝรั่งเศสมีปริมาณที่น้อยลง โดยพบว่าในช่วง 2-3 ปี ปริมาณน้ำแร่นำเข้าลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันซัปพลายขาดแคลน บริษัทได้สต็อกสินค้าไว้บ้างแล้ว”
สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำแร่ 700-800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7-8% ของตลาดน้ำดื่มโดยรวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10% เนื่องจากคนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยผลประกอบการปีนี้เอเวียงตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 15-20% ปัจจุบันเอเวียงมีส่วนแบ่ง 10% จากตลาดน้ำแร่โดยรวม ส่วนตลาดน้ำแร่นำเข้าคิดเป็นมูลค่า 16 ล้านบาท หรือราว 1-2% ของตลาดน้ำแร่ เอเวียงเป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง 70-80% โดยปัจจุบันเอเวียงประเทศไทยมียอดขายเป็นอันดับสองในเซาท์อีสเอเชียรองจากประเทศสิงคโปร์ ส่วนอันดับสามเป็นประเทศเขมร