ผู้ส่งออกไทยยืนยันต่ออธิบดีกรมการค้าต่างประเทศว่าสามารถปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลง หากถูกตัดสิทธิจีเอสพีจากสหรัฐ เนื่องจากมีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและร่วมมือกับภาครัฐในการหาตลาดใหม่ ๆ ทำให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ เชื่อหากสินค้าไทยบางรายการถูกตัดสิทธิจีเอสพี เป็นเรื่องส่งออกสินค้าเกินเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด ไม่เกี่ยวกับการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คาดว่า สหรัฐจะประกาศสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าไทยบางรายการ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ยางรถยนต์ และโทรทัศน์สี อย่างเป็นทางการว่าจะตัดสิทธิจีเอสพีหรือได้รับสิทธิจีเอสพีในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่หลังจากที่มีการสอบถามผู้ส่งออกในกลุ่มดังกล่าวเห็นว่าภาคธุรกิจมีการปรับตัวและยอมรับกับเหตุผลของสหรัฐ ไม่ว่าจะตัดสิทธิหรือให้สิทธิ ซึ่งช่วงที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ส่งข้อมูลชี้แจงสหรัฐไปแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าสินค้าไทยจะถูกตัดสิทธิหรือไม่ ก็ยังเชื่อมั่นว่าคุณภาพสินค้าไทยในหลายรายการมีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งขณะนี้ผู้ส่งออกได้ร่วมมือกับภาครัฐในการหาตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดียและอีกหลายตลาด โดยในส่วนตลาดจีนและอินเดียที่มีประชากรมากกว่า 2,000 ล้านคน มีความสนใจสินค้าไทยเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่
“ได้บอกกับผู้ประกอบการที่ได้สิทธิจีเอสพีของสหรัฐ ว่า สิทธิดังกล่าวไม่ใช่เป็นมาตรการที่ยั่งยืนไม่ควรยึดติดกับจีเอสพีมากเกินไป ซึ่งผู้ส่งออกเริ่มเข้าใจ เพราะการที่สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ไม่ได้หมายความว่าสินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันได้ และขณะนี้ผู้ส่งออกมีการปรับตัวสามารถเจาะตลาดใหม่ ๆ เพื่อชดเชยหากสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีในกลุ่มสินค้าดังกล่าวจริง แต่หากไม่ตัดสิทธิจีเอสพี ก็ถือเป็นผลดีของกลุ่มสินค้าไทย” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าว
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า หากสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย โดยจะประกาศต้นเดือนกรกฎาคมนี้ มาจากการที่ไทยส่งออกสินค้าเกินกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ไทยใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ซึ่งหากดูยอดการส่งออกสินค้าไทยในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2549 ส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 1,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โทรทัศน์สี 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยางรถยนต์ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ปริมาณสูงและเกินเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด หากถูกตัดสิทธิก็เชื่อว่าสินค้าไทยยังสามารถทำตลาดอื่นได้ และขณะนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อส่งออกไปตลาดประเทศที่ 3 เพราะอุตสาหกรรมไทยสามารถส่งออกไปตลาดที่ 3 มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาสินค้าทั้ง 3 รายการ ที่ได้รับสิทธิจะเสียภาษีร้อยละ 0 เมื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐ เมื่อถูกตัดสิทธิจีเอสพี กลุ่มอัญมณีและเครืองประดับที่ทำจากทองจะถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 5 โทรทัศน์สีร้อยละ 3.9 และยางรถยนต์ ร้อยละ 4 แต่หากปีต่อไป ไทยไม่สามารถแข่งขันหรือส่งออกสินค้าได้ต่ำกว่าเกณฑ์สหรัฐกำหนด สหรัฐจะทบทวนการให้สิทธิจีเอสพีกับไทยในอนาคตได้
ส่วนกรณีที่สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียนาออกหนังสือเวียนถึงนักการเมืองมลรัฐที่ระบุว่าสินค้ากุ้งไทยไม่มีการคุ้มครองในเรื่องกฎหมายแรงงาน โดยใช้แรงงานเด็กในอุตสาหรรมกุ้งและให้มีการกดดันในการทบทวนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งไทย ให้ใช้มาตรการต่อไปนั้น นางอภิรดี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริง และไทยพร้อมชี้แจง โดยได้ประสานไปยังกระทรวงแรงงานที่จะส่งข้อมูลให้สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียน่ารับทราบว่าประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่มีปัญหาใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจ สำหรับกรณีที่ภาคเอกชนสหรัฐเรียกเก็บการวางพันธบัตรค้ำประกันสินค้ากุ้งไทยและยังไม่มีการคืนเงินค้ำประกันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นต้นทุนของผู้ส่งออกกุ้งไทย เรื่องนี้ได้นำไปหารือต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) แล้ว เชื่อว่าจะมีความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คาดว่า สหรัฐจะประกาศสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าไทยบางรายการ เช่น อัญมณีและเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ยางรถยนต์ และโทรทัศน์สี อย่างเป็นทางการว่าจะตัดสิทธิจีเอสพีหรือได้รับสิทธิจีเอสพีในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่หลังจากที่มีการสอบถามผู้ส่งออกในกลุ่มดังกล่าวเห็นว่าภาคธุรกิจมีการปรับตัวและยอมรับกับเหตุผลของสหรัฐ ไม่ว่าจะตัดสิทธิหรือให้สิทธิ ซึ่งช่วงที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ส่งข้อมูลชี้แจงสหรัฐไปแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าสินค้าไทยจะถูกตัดสิทธิหรือไม่ ก็ยังเชื่อมั่นว่าคุณภาพสินค้าไทยในหลายรายการมีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งขณะนี้ผู้ส่งออกได้ร่วมมือกับภาครัฐในการหาตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดียและอีกหลายตลาด โดยในส่วนตลาดจีนและอินเดียที่มีประชากรมากกว่า 2,000 ล้านคน มีความสนใจสินค้าไทยเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่
“ได้บอกกับผู้ประกอบการที่ได้สิทธิจีเอสพีของสหรัฐ ว่า สิทธิดังกล่าวไม่ใช่เป็นมาตรการที่ยั่งยืนไม่ควรยึดติดกับจีเอสพีมากเกินไป ซึ่งผู้ส่งออกเริ่มเข้าใจ เพราะการที่สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี ไม่ได้หมายความว่าสินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันได้ และขณะนี้ผู้ส่งออกมีการปรับตัวสามารถเจาะตลาดใหม่ ๆ เพื่อชดเชยหากสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีในกลุ่มสินค้าดังกล่าวจริง แต่หากไม่ตัดสิทธิจีเอสพี ก็ถือเป็นผลดีของกลุ่มสินค้าไทย” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าว
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า หากสหรัฐตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย โดยจะประกาศต้นเดือนกรกฎาคมนี้ มาจากการที่ไทยส่งออกสินค้าเกินกว่าเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ไทยใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา ซึ่งหากดูยอดการส่งออกสินค้าไทยในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับในปี 2549 ส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 1,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โทรทัศน์สี 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยางรถยนต์ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ปริมาณสูงและเกินเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด หากถูกตัดสิทธิก็เชื่อว่าสินค้าไทยยังสามารถทำตลาดอื่นได้ และขณะนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเหล่านี้ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อส่งออกไปตลาดประเทศที่ 3 เพราะอุตสาหกรรมไทยสามารถส่งออกไปตลาดที่ 3 มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาสินค้าทั้ง 3 รายการ ที่ได้รับสิทธิจะเสียภาษีร้อยละ 0 เมื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐ เมื่อถูกตัดสิทธิจีเอสพี กลุ่มอัญมณีและเครืองประดับที่ทำจากทองจะถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 5 โทรทัศน์สีร้อยละ 3.9 และยางรถยนต์ ร้อยละ 4 แต่หากปีต่อไป ไทยไม่สามารถแข่งขันหรือส่งออกสินค้าได้ต่ำกว่าเกณฑ์สหรัฐกำหนด สหรัฐจะทบทวนการให้สิทธิจีเอสพีกับไทยในอนาคตได้
ส่วนกรณีที่สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียนาออกหนังสือเวียนถึงนักการเมืองมลรัฐที่ระบุว่าสินค้ากุ้งไทยไม่มีการคุ้มครองในเรื่องกฎหมายแรงงาน โดยใช้แรงงานเด็กในอุตสาหรรมกุ้งและให้มีการกดดันในการทบทวนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้ากุ้งไทย ให้ใช้มาตรการต่อไปนั้น นางอภิรดี กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริง และไทยพร้อมชี้แจง โดยได้ประสานไปยังกระทรวงแรงงานที่จะส่งข้อมูลให้สมาคมกุ้งรัฐหลุยเซียน่ารับทราบว่าประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่มีปัญหาใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจ สำหรับกรณีที่ภาคเอกชนสหรัฐเรียกเก็บการวางพันธบัตรค้ำประกันสินค้ากุ้งไทยและยังไม่มีการคืนเงินค้ำประกันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นต้นทุนของผู้ส่งออกกุ้งไทย เรื่องนี้ได้นำไปหารือต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) แล้ว เชื่อว่าจะมีความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้