xs
xsm
sm
md
lg

ไทยเสียแชมป์เอ็กซิบิชันให้มาเลย์ สสปน.ก้นร้อนปั้นแผน 5 ปี ฝันขึ้นผู้นำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สสปน.จัดทัพใหม่ หลังผลสำรวจ เวิลด์ ฟอรัม ไทยตกอันดับได้ที่ 5 ในประเทศผู้นำด้านการจัดงานเอ็กซิบิชัน ขณะที่มาเลเซียเบียดแซงขึ้นอันดับ 4 ประธานกรรมการ สสปน.ก้นร้อน เปิดแผนยุทธศาตร์ 5 ปี ดันไทยขึ้นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ในปี 2554 ระบุปัญหาประเทศไทย คือ ขาดความเป็นหนึ่งในการทำงาน เล็งตั้งไทยทีม บุกตลาด พร้อมไขก๊อกมาตรการภาษี

ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน) หรือ สสปน.(TCEB) เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจของ เวิลด์ ฟอรัม เอ็กซิบิชัน รายงานว่าในกลุ่มภูมิภาคเอเชียประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านการจัดงานเอ็กซิบิชันขณะนี้ คือ 1.ฮ่องกง 2.สิงคโปร์ 3.เซี่ยงไฮ้ (จีน) 4.มาเลเซีย และ 5.ประเทศไทย

จากการจัดอันดับในครั้งนี้ประเทศไทยได้ตกจากอันดับ 4 เป็นอันดับ 5 ขณะที่คู่แข่งอย่างมาเลเซีย ขึ้นจากอันดับ 6 มาอยู่ที่อันดับ 4 ทั้งนี้ สาเหตุหลักน่าจะมาจากความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้อกับการเชิญชวนให้กลุ่มการจัดงานเอ็กซิบิชัน เข้ามาจัดงานที่ประเทศไทย

ชู 5 ยุทธศาสตร์ดันไทยขึ้นฮับไมซ์
ดังนั้น สสปน.จึงได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อเร่งดำเนินการ พร้อมกับการจัดตั้งคณะกรรมการ สสปน.(บอร์ด) ชุดใหม่ แทนชุดเก่าที่หมดวาระไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ แผน 5 ปี จะมี 5 โครงการหลัก ที่ สสปน.จะต้องเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย 1.โครงการเปิดทองหลังพระ 2.โครงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งไทยและต่างประเทศภายใต้ Thai Team 3.โครงการศูนย์รวบรวมและวิจัยข้อมูล MICE 4.โครงการพัฒนาความรู้ความสามารถแก่บุคลากรในอุตสาหกรรม MICE และ 5.โครงการสร้างมาตรฐานระบบการจัดการ (MICE Certificate) เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม MICE ที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย พร้อมตอบโจทย์การปรับเป้าหมายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2554 สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี

ม.ร.ว.ดิศนัดดา กล่าวว่า สสปน.จะเร่งดำเนินการเรื่องไทยทีมให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2551 โดยกลุ่มไทยทีม จะต้องประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ ทิก้า สมาคมโรงแรมไทย สมาคมแสดงสินค้าไทย (TEA) เป็นต้น นอกจากนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไข คือ ข้อกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องภาษีนำเข้า เพราะปัจจุบันผู้ที่เข้ามาจัดแสดงสินค้าในประเทศไทย จะต้องเสียภาษีนำเข้าอุปกรณ์และของใช้ที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการจัดงาน นอกจากนั้นยังเรื่องของวีซ่า ที่น่าจะมีการลดหย่อนด้วย

“ปัจจุบันประเทศคู่แข่งอย่าง สิงคโปร์ ฮ่องกง แม้กระทั่งมาเลเซีย เขาจัดอินเซนทีฟให้กับคนกลุ่มนี้ เพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการตัดสินใจเข้ามาจัดงานในประเทศของเขา ดังนั้น ไทยเองก็ไม่ควรที่จะคิดว่าการลดหย่อนภาษีจะทำให้ประเทศเสียรายได้ เพราะถ้ามีกลุ่มไมซ์เข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ภาคเอกชนอยู่ได้ รัฐบาลก็อยู่ได้ เพราะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเอกชน”

อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งแรกของบอร์ดชุดใหม่ ได้แต่งตั้ง นายนิพัทธ์ ดิถีเพ็ญ ขึ้นเป็นตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการ สสปน.แทน ร.อ.ขจิต หัพนานนท์ ซึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนการคัดเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สสปน. ล่าสุดอยู่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจมายื่นใบสมัคร คาดว่าภายในปีนี้ จะสามารถคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้อย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องกระแสข่าวที่จะรวม สสปน.เข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตนไม่เห็นด้วยเด็ดขาด และ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ก็เห็นด้วย เพราะการทำงานของ สสปน.ต้องการความรวดเร็ว และต้องมีการประสานงานกับหลายหน่วยงานในหลายกระทรวง หากอยู่ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวฯอาจทำให้การทำงานล่าช้าลง

ขอหน่วยงานรัฐจัดสัมมนา ตจว.
นายนิพัทธ์ ดิถีเพ็ญ รักษาการผู้อำนวยการ สสปน.เปิดเผยว่า สำหรับแผนกระตุ้นตลาดไมซ์ระยะสั้นในปีนี้ ได้เสนอต่อ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ส่งหนังสือขอความร่วมมือหน่วยงานราชการ และ รัฐวิสาหกิจ ให้จัดประชุมสัมมนาในต่างจังหวัด ที่ไม่ใช่จังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังให้บริษัทที่เป็นคู่ค้าของภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัทผลิตเครื่องบินโบอิ้ง บริษัทผลิตยาไฟเซอร์ เป็นต้น โดยขอความร่วมมือบริษัทเหล่านั้น จัดทริปประชุมสัมมนาในประเทศไทย สำหรับแผนกระตุ้นตลาดไมซ์ในต่างประเทศ ได้ขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศ และสถานกงสุนไทยในต่างประเทศ ใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ เชิญชวนบริษัทเอกชนในต่างประเทศเข้ามาจัดสัมมนาในประเทศไทย นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยว 19 แห่ง ในโครงการพระราชดำริ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไมซ์ของประเทศไทย แต่ละปีที่ผ่านมาจะเติบโตเฉลี่ย 20-30% แต่ปีนี้ สสปน.ได้ปรับเป้าตลาดต่างประเทศลงเหลือ 7.5 แสนคน จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8 แสนคน เพราะปีนี้ ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองของประเทศ ส่วนตลาดในประเทศคาดว่าจจากแผนขอความร่วมมือ น่าจะทำให้เกิดการเดินทางจัดประชุมสัมมนาได้ไม่น้อยกว่า 1.5 แสนคน ซึ่ง คาดว่ารองนายกรัฐมนตรีจะนำเสนอแผนการทำงานทั้งหมดเข้าที่ประชุม ครม. พร้อมประกาศใช้ในเดือนหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น