รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับลูกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป โดยจะเร่งศึกษาข้อมูลและเตรียมยื่นฟ้ององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ต่อกรณีสหภาพยุโรป (อียู) เปิดไต่สวนข้าวโพดหวานไม่เป็นธรรม ซึ่งจะประกาศผลวันที่ 22 มิ.ย.นี้ พร้อมปรับหลักเกณฑ์วิธีการควบคุมดูแลส่งออกสินค้าสับปะรดกระป๋อง หวั่นส่งออกสินค้าไม่มีคุณภาพ
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ว่า ได้มีการหารือกับผู้ส่งออกสินค้าข้าวโพดหวานไปตลาดอียู ที่ได้รับความเดือดร้อนจากความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากการถูกประกาศไต่สวนเพื่อเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าข้าวโพดของไทยในตลาดอียู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนขั้นสุดท้าย และเตรียมประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ โดยเรื่องนี้ได้มีการหารือกันถึงความเป็นไปได้ว่า จะสามารถนำไปหารือภายใต้หลักเกณฑ์ดับเบิลยูทีโอ เพื่อขอความเป็นธรรมได้หรือไม่ เนื่องจากมองว่าอียูมีเจตนาที่จะกีดกันสินค้าข้าวโพดหวานของไทย
“ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศไปติดตามในเรื่องของเอดี ที่อียูจะประกาศใช้กับสินค้าข้าวโพดหวานของไทยว่าเป็นอย่างไร และให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศไปติดตามเรื่องความเป็นไปได้ในการหาทางนำเรื่องนี้เข้าหารือในดับเบิลยูทีโอ” นายเกริกไกร กล่าว
สำหรับสถิติการส่งออกข้าวโพดหวานของไทยในตลาดอียู มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 10 ต่อปี โดยปี 2549 ไทยส่งออกข้าวโพดหวานเพียง 36,000 ตัน มูลค่า 1,215 ล้านบาท ลดลงจากที่เคยส่งออกในปี 2548 ปริมาณ 42,000 ตัน มูลค่า 1,345 ล้านบาท เกิดจากปัญหาการพิจารณาไต่สวนเอดี นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงการปรับเปลี่ยนกฎการจัดระเบียบมาตรฐานการส่งออกของสินค้าสับปะรดกระป๋อง ที่จะมีการบังคับใช้ใหม่ หลังจากผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่ง นายเกริกไกร จะให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปไปหารือว่าจะดูแลสมาชิกในเรื่องคุณภาพสินค้าได้อย่างไร
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ว่า ได้มีการหารือกับผู้ส่งออกสินค้าข้าวโพดหวานไปตลาดอียู ที่ได้รับความเดือดร้อนจากความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากการถูกประกาศไต่สวนเพื่อเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าข้าวโพดของไทยในตลาดอียู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนขั้นสุดท้าย และเตรียมประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ โดยเรื่องนี้ได้มีการหารือกันถึงความเป็นไปได้ว่า จะสามารถนำไปหารือภายใต้หลักเกณฑ์ดับเบิลยูทีโอ เพื่อขอความเป็นธรรมได้หรือไม่ เนื่องจากมองว่าอียูมีเจตนาที่จะกีดกันสินค้าข้าวโพดหวานของไทย
“ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศไปติดตามในเรื่องของเอดี ที่อียูจะประกาศใช้กับสินค้าข้าวโพดหวานของไทยว่าเป็นอย่างไร และให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศไปติดตามเรื่องความเป็นไปได้ในการหาทางนำเรื่องนี้เข้าหารือในดับเบิลยูทีโอ” นายเกริกไกร กล่าว
สำหรับสถิติการส่งออกข้าวโพดหวานของไทยในตลาดอียู มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 10 ต่อปี โดยปี 2549 ไทยส่งออกข้าวโพดหวานเพียง 36,000 ตัน มูลค่า 1,215 ล้านบาท ลดลงจากที่เคยส่งออกในปี 2548 ปริมาณ 42,000 ตัน มูลค่า 1,345 ล้านบาท เกิดจากปัญหาการพิจารณาไต่สวนเอดี นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงการปรับเปลี่ยนกฎการจัดระเบียบมาตรฐานการส่งออกของสินค้าสับปะรดกระป๋อง ที่จะมีการบังคับใช้ใหม่ หลังจากผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่ง นายเกริกไกร จะให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปไปหารือว่าจะดูแลสมาชิกในเรื่องคุณภาพสินค้าได้อย่างไร