นีโอสุกี้ เปิดเกมรุก ผุดซับแบรนด์ใหม่ น้ำจิ้มบุฟเฟ่ท์หมูกะทะ เจาะร้านอาหารหมูกะทะและเอนด์ยูสเซอร์ ต่อยอดน้ำจิ้มสุกี้ นำร่องวางตลาดในบิ๊กซีและเทสโก้โลตัสแล้ว ลั่นปีนี้ตั้งเป้าเติบโตรวม 20% พร้อมขยายแฟรนไชส์ร้านสุกี้ในต่างประเทศไม่หยุด เล็งเป้าสยายปีกสู่ตะวันออกกลาง
นายสกนธ์ กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอสุกี้ ไทย เรสเทอรองต์ จำกัด ผู้บริหารร้านนีโอสุกี้ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนทำตลาดซอสและน้ำจิ้มของนีโอ ในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในแง่ของการขยายช่องทางจำหน่ายและการขยายตัวผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการขยายตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและการเติบโดให้กับธุรกิจของนีโอด้วย
โดยล่าสุดได้ลงทุนเพิ่มประมาณ 2 ล้านกว่าบาท เพื่อขยายไลน์การผลิตซอสตัวใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นแบรนด์ นีโอบุฟเฟท์ซอส หมูกะทะ มีกำลังการผลิตโดยรวมกับซอสเดิมมากกว่า 3-4 ตันต่อวัน ซึ่งจะเป็นซับแบรนด์ที่ใช้ในการทำตลาดน้ำจิ้มอาหารประเภทหมูกะทะบุฟเฟ่ท์ หรือหมูย่างเกาหลี เป็นหลัก ซึ่งถือว่าธุรกิจร้านอาหารประเภทเนื้อย่างหมูย่างเกาหลีนี้ และหมูกะทะ มีการเติบโตอย่างมาก เป็นตลาดที่น่าสนใจ ทำให้บริษัทฯเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดช่องทางนี้ รวมทั้งช่องว่างที่เป็นเอนด์ยูสเซอร์ตามบ้านทั่วไปด้วย
“ตลาดร้านค้าหมูกะทะก็เป็นตลาดใหญ่ อีกทั้งตลาดตามบ้านทั่วไป ที่ต้องการทานอาหารประเภทนี้แต่ไม่มีน้ำจิ้มเราก็เจาะตลาดตรงนี้ด้วย อีกทั้งไม่ต้องเอดดูเคทตลาดแล้วสำหรับในเรื่องหมูกะทะเพราะเป็นตลาดที่มีอยู่แล้ว เท่ากับว่าเราได้ทั้งตลาดร้านค้าและตลาดผู้บริโภคตามบ้านด้วย”
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนส่งออกซับแบรนด์นี้ไปยังประเทศเกาหลีด้วย โดยมีพันธมิตรที่เกาหลีซึ่งทำธุรกิจทางด้านเทรดดิ้ง กำลังจะขยายธุรกิจสู่ร้านอาหาร สั่งให้บริษัทฯส่งสินค้าตัวนี้ไปวางจำหน่าย
ทั้งนี้ซับแบรนด์ นีโอบุฟเฟ่ท์ซอส ดังกล่าวด้เริ่มผลิตออกสู่ตลาดแล้ว และวางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดเช่น บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ เทสโก้โลตัส ก่อนที่จะขยายไปยังกลุ่มโมเดิร์นเทรดอื่นๆอีก โดยรูปแบบที่เจาะเอนด์ยูสเซอร์คือ ขนาดถ้วย 200 กรัม ราคา 25 บาท ถ้วยขนาดใหญ่ 600 กรัม ราคา 59 บาท ขนาดขวดราคา 35 บาท และที่เจาะภัตตาคาร เป็นถุงขนาด 1 กิโลกรัม และแกลลอนขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 45 บาท
นายสกนธ์กล่าวต่อด้วยว่า บริษัทฯจะต้องสร้างทีมงานขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อที่จะเข้าเจาะตลาดในช่องทางของภัตตาคารโดยเฉพาะด้วย เนื่องจากจะเป็นตลาดที่แตกต่างจากทางเอนด์ยูสเซอร์ที่สามารถหาซื้อได้ตามช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดทั่วไปอยู่แล้ว
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาจากการจำหน่ายซอสนั้น ในส่วนของผลิตภัณฑ์เดิมคือ น้ำจิ้มสุกี้ มีการเติบโตมากกว่า 30% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ โดยบริษัทฯมีส่วนแบ่ง 30% จากมูลค่าตลาดรวมซอสสุกี้ 100 ล้านบาท และตลาดรวมซอสมะเขือเทศกว่า 800 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯทำตลาดมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว มีอัตราการเติบโตอย่างมากในช่วงปีแรกกว่า 200% ปีต่อมาเติบโต 150% และ 100% กระทั่งปีที่แล้วโต 30% จากรายได้รวมประมาณ 30 ล้านบาท และปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 20%
นายสกนธ์กล่าวว่า แม้จะมีการเติบโตที่ลดลงมาตลอดก็ตาม ก็เป็นเพราะฐานรายได้เริ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่หยุด เพราะว่าน้ำจิ้มสุกี้อย่างเดียวอาจจะไม่โตมาก จึงต้องพัฒนาน้ำจิ้มในตลาดใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตได้เพิ่มสูงขึ้นจำนวนหนึ่ง เนื่องจากวัตถุดิบหลายประการได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯก็ต้องปรับราคาสินค้าขึ้นประมาณ 10% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจร้านนีโอสุกี้นั้น ก็มีแผนที่จะบุกมากขึ้นเช่นกันทั้งการขายแฟรนไชส์ในประเทศและต่างประเทศ โดยในตลาดในประเทศนี้ ขณะนี้ได้ขายแฟรนไชส์นีโอสุกี้เอ็กซ์เพรสไปแล้วที่จังหวัดภูเก็ต ที่หน้าห้างสรรพสินค้าซูเปอร์ชีพ ขณะที่สาขาของบริษัทฯเองมี 2 ที่คือ ตึกพันธ์ทิพย์งามวงศ์วาน และสาขาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นร้านแบบเต็มรูปแบบ
ส่วนตลาดต่างประเทศมีแผนที่จะเจาะตลาดการขายแฟรนไชส์ไปยังประเทศตะวันอกกกลาง เช่น ดูไบซึ่งอยู่ระหว่างการติดต่อเจรจา ส่วนที่เวียดนามมีความคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 90% จะเปิดเป็นร้านนีโอสุกี้กึ่งเรสเตอรองต์ และเตรียมเปิดในกัมพูชาอีก 2 สาขา
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้านนีโอสุกี้ในต่างประเทศรวมแล้วประมาณ 7 สาขา เช่น ในญี่ปุ่น 1 สาขา, อินโดนีเซีย 4 สาขา, กัมพูชา 1 สาขาและเวียดนาม 1 สาขา
นายสกนธ์ กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอสุกี้ ไทย เรสเทอรองต์ จำกัด ผู้บริหารร้านนีโอสุกี้ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนทำตลาดซอสและน้ำจิ้มของนีโอ ในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในแง่ของการขยายช่องทางจำหน่ายและการขยายตัวผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการขยายตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและการเติบโดให้กับธุรกิจของนีโอด้วย
โดยล่าสุดได้ลงทุนเพิ่มประมาณ 2 ล้านกว่าบาท เพื่อขยายไลน์การผลิตซอสตัวใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นแบรนด์ นีโอบุฟเฟท์ซอส หมูกะทะ มีกำลังการผลิตโดยรวมกับซอสเดิมมากกว่า 3-4 ตันต่อวัน ซึ่งจะเป็นซับแบรนด์ที่ใช้ในการทำตลาดน้ำจิ้มอาหารประเภทหมูกะทะบุฟเฟ่ท์ หรือหมูย่างเกาหลี เป็นหลัก ซึ่งถือว่าธุรกิจร้านอาหารประเภทเนื้อย่างหมูย่างเกาหลีนี้ และหมูกะทะ มีการเติบโตอย่างมาก เป็นตลาดที่น่าสนใจ ทำให้บริษัทฯเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดช่องทางนี้ รวมทั้งช่องว่างที่เป็นเอนด์ยูสเซอร์ตามบ้านทั่วไปด้วย
“ตลาดร้านค้าหมูกะทะก็เป็นตลาดใหญ่ อีกทั้งตลาดตามบ้านทั่วไป ที่ต้องการทานอาหารประเภทนี้แต่ไม่มีน้ำจิ้มเราก็เจาะตลาดตรงนี้ด้วย อีกทั้งไม่ต้องเอดดูเคทตลาดแล้วสำหรับในเรื่องหมูกะทะเพราะเป็นตลาดที่มีอยู่แล้ว เท่ากับว่าเราได้ทั้งตลาดร้านค้าและตลาดผู้บริโภคตามบ้านด้วย”
นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนส่งออกซับแบรนด์นี้ไปยังประเทศเกาหลีด้วย โดยมีพันธมิตรที่เกาหลีซึ่งทำธุรกิจทางด้านเทรดดิ้ง กำลังจะขยายธุรกิจสู่ร้านอาหาร สั่งให้บริษัทฯส่งสินค้าตัวนี้ไปวางจำหน่าย
ทั้งนี้ซับแบรนด์ นีโอบุฟเฟ่ท์ซอส ดังกล่าวด้เริ่มผลิตออกสู่ตลาดแล้ว และวางจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดเช่น บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ เทสโก้โลตัส ก่อนที่จะขยายไปยังกลุ่มโมเดิร์นเทรดอื่นๆอีก โดยรูปแบบที่เจาะเอนด์ยูสเซอร์คือ ขนาดถ้วย 200 กรัม ราคา 25 บาท ถ้วยขนาดใหญ่ 600 กรัม ราคา 59 บาท ขนาดขวดราคา 35 บาท และที่เจาะภัตตาคาร เป็นถุงขนาด 1 กิโลกรัม และแกลลอนขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 45 บาท
นายสกนธ์กล่าวต่อด้วยว่า บริษัทฯจะต้องสร้างทีมงานขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อที่จะเข้าเจาะตลาดในช่องทางของภัตตาคารโดยเฉพาะด้วย เนื่องจากจะเป็นตลาดที่แตกต่างจากทางเอนด์ยูสเซอร์ที่สามารถหาซื้อได้ตามช่องทางจำหน่ายโมเดิร์นเทรดทั่วไปอยู่แล้ว
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาจากการจำหน่ายซอสนั้น ในส่วนของผลิตภัณฑ์เดิมคือ น้ำจิ้มสุกี้ มีการเติบโตมากกว่า 30% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ โดยบริษัทฯมีส่วนแบ่ง 30% จากมูลค่าตลาดรวมซอสสุกี้ 100 ล้านบาท และตลาดรวมซอสมะเขือเทศกว่า 800 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯทำตลาดมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว มีอัตราการเติบโตอย่างมากในช่วงปีแรกกว่า 200% ปีต่อมาเติบโต 150% และ 100% กระทั่งปีที่แล้วโต 30% จากรายได้รวมประมาณ 30 ล้านบาท และปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 20%
นายสกนธ์กล่าวว่า แม้จะมีการเติบโตที่ลดลงมาตลอดก็ตาม ก็เป็นเพราะฐานรายได้เริ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่หยุด เพราะว่าน้ำจิ้มสุกี้อย่างเดียวอาจจะไม่โตมาก จึงต้องพัฒนาน้ำจิ้มในตลาดใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเพื่อต่อยอดธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตได้เพิ่มสูงขึ้นจำนวนหนึ่ง เนื่องจากวัตถุดิบหลายประการได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯก็ต้องปรับราคาสินค้าขึ้นประมาณ 10% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจร้านนีโอสุกี้นั้น ก็มีแผนที่จะบุกมากขึ้นเช่นกันทั้งการขายแฟรนไชส์ในประเทศและต่างประเทศ โดยในตลาดในประเทศนี้ ขณะนี้ได้ขายแฟรนไชส์นีโอสุกี้เอ็กซ์เพรสไปแล้วที่จังหวัดภูเก็ต ที่หน้าห้างสรรพสินค้าซูเปอร์ชีพ ขณะที่สาขาของบริษัทฯเองมี 2 ที่คือ ตึกพันธ์ทิพย์งามวงศ์วาน และสาขาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นร้านแบบเต็มรูปแบบ
ส่วนตลาดต่างประเทศมีแผนที่จะเจาะตลาดการขายแฟรนไชส์ไปยังประเทศตะวันอกกกลาง เช่น ดูไบซึ่งอยู่ระหว่างการติดต่อเจรจา ส่วนที่เวียดนามมีความคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 90% จะเปิดเป็นร้านนีโอสุกี้กึ่งเรสเตอรองต์ และเตรียมเปิดในกัมพูชาอีก 2 สาขา
ปัจจุบันบริษัทฯมีร้านนีโอสุกี้ในต่างประเทศรวมแล้วประมาณ 7 สาขา เช่น ในญี่ปุ่น 1 สาขา, อินโดนีเซีย 4 สาขา, กัมพูชา 1 สาขาและเวียดนาม 1 สาขา