ม.หอการค้าไทย ยอมรับการทำเอฟทีเอไทย-จีน ทำให้ปริมาณการค้าเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังมีประเด็นปัญหาที่เสนอให้รัฐเร่งแก้ไข ทั้งการตรวจสอบสารตกค้าง สินค้าลอกเลียนแบบ ลดขั้นตอนและอุปสรรคในการส่งออกสินค้าเข้าไปยังจีน ขณะที่ ก.พาณิชย์ แนะอุตสาหกรรมไทยปรับตัวเอง และปรับปรุงคุณภาพสินค้าไทย โดยหันมาเน้นเจาะตลาดบนแทน
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในงานสัมมนา “การอำนวยความสะดวกทางการค้าและมาตรการรองรับภายใต้การเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-จีน” ว่า หากดูกรอบภายใต้อาเซียน-จีน เชื่อว่า จะทำให้มูลค่าการค้าอาเซียน-จีน ปรับตัวได้ดี แต่หากมองในแง่การทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับจีน ในส่วนของผักและผลไม้ที่เริ่มในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะทำให้ปริมาณการค้าของทั้ง 2 ประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผักและผลไม้ที่ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 แต่หากมองในแง่ปัญหาและอุปสรรค มีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่ทางศูนย์ศึกษาการค้าฯ อยากให้รัฐบาลนำกลับไปแก้ไขปัญหา เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าและส่งออกสินค้าไทยไปตลาดจีน
โดยเฉพาะรัฐบาลควรมีมาตรการการตรวจสอบสารตกค้างนำเข้าสินค้าจากจีน ควรทำความตกลงไม่ใช้มาตรฐานที่เหลื่อมล้ำที่แตกต่างกันระหว่าง 2 ประเทศ ต้องหาแนวทางปกป้องสินค้าส่งออกของไทยจากปัญหาปลอมปนสินค้า หรือการลอกเลียนแบบ รัฐบาลต้องหาทางลดความล่าช้าในการส่งออกสินค้า การแก้ไขสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อลดการนำเข้าและส่งออก การพัฒนาการขนส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า รัฐบาลควรเข้ามาดูแลและตรวจสอบการเข้ามาประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการจีนในประเทศไทย เพื่อจำกัดปริมาณการเข้ามาทำธุรกรรมของผู้ประกอบการจีน และระมัดระวังต่อการเข้ามาลงทุนโดยใช้คนไทยเป็นหุ้นส่วนปลอม ต้องเร่งสร้างความเท่าเทียมกันของเสรีภาพทางการค้าระหว่างไทยกับจีน หากแก้ไขได้ เชื่อว่าจะทำให้กรอบข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกลุ่มสมาชิกและไทยอย่างมาก
นายพิษณุ เหรียญมหาสาร รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตามกรอบเอฟทีเอ อาเซียน-จีน ถือเป็นเรื่องที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยได้รับประโยชน์โดยเฉพาะการค้าการลงทุนจากจีนจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น มีการลดภาษีตามกรอบเหลือร้อยละ 0 แม้ผลการตกลงตามกรอบเอฟทีเอ ไทย-จีน ในส่วนของผักและผลไม้ ที่เริ่มภาษีเหลือร้อยละ 0 มาแล้ว 2 ปี ซึ่งเกิดปัญหาอุปสรรคและกฎระเบียบต่างๆ ในพิธีการนำเข้าส่งออกของจีนเริ่มลดน้อยลง แต่ยอมรับว่าบางมณฑลของจีน ในส่วนของระเบียบและวิธีการนำเข้ายังยุ่งยากและลำบากอยู่บ้าง แต่ยังมั่นใจว่า หากภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันสร้างความสัมพันธ์ในเชิงลึก โดยเน้นเป็นพันธมิตรแต่ละมณฑล ก็เชื่อว่าจะทำให้แต่ละมณฑลผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคให้น้อยลง ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมไทยจะต้องมีการปรับตัวเอง ไม่ควรเข้าไปแข่งขันสินค้าบางรายการที่ไม่มีคุณภาพกับจีน แต่ควรหันมาปรับปรุงคุณภาพสินค้าไทย เน้นคุณภาพสินค้าตลาดบนที่จะเข้าไปทำตลาดจีนจะเหมาะสมกว่า เพราะขณะนี้ จีนมีการปรับคุณภาพสินค้า และไม่เพียงสินค้าเท่านั้น จีนยังมีการปรับตัวและพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งไม่แพ้ยุโรปและอเมริกา
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวในงานสัมมนา “การอำนวยความสะดวกทางการค้าและมาตรการรองรับภายใต้การเจรจาเอฟทีเอ อาเซียน-จีน” ว่า หากดูกรอบภายใต้อาเซียน-จีน เชื่อว่า จะทำให้มูลค่าการค้าอาเซียน-จีน ปรับตัวได้ดี แต่หากมองในแง่การทำเอฟทีเอระหว่างไทยกับจีน ในส่วนของผักและผลไม้ที่เริ่มในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะทำให้ปริมาณการค้าของทั้ง 2 ประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผักและผลไม้ที่ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 แต่หากมองในแง่ปัญหาและอุปสรรค มีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่ทางศูนย์ศึกษาการค้าฯ อยากให้รัฐบาลนำกลับไปแก้ไขปัญหา เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าและส่งออกสินค้าไทยไปตลาดจีน
โดยเฉพาะรัฐบาลควรมีมาตรการการตรวจสอบสารตกค้างนำเข้าสินค้าจากจีน ควรทำความตกลงไม่ใช้มาตรฐานที่เหลื่อมล้ำที่แตกต่างกันระหว่าง 2 ประเทศ ต้องหาแนวทางปกป้องสินค้าส่งออกของไทยจากปัญหาปลอมปนสินค้า หรือการลอกเลียนแบบ รัฐบาลต้องหาทางลดความล่าช้าในการส่งออกสินค้า การแก้ไขสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อลดการนำเข้าและส่งออก การพัฒนาการขนส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า รัฐบาลควรเข้ามาดูแลและตรวจสอบการเข้ามาประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการจีนในประเทศไทย เพื่อจำกัดปริมาณการเข้ามาทำธุรกรรมของผู้ประกอบการจีน และระมัดระวังต่อการเข้ามาลงทุนโดยใช้คนไทยเป็นหุ้นส่วนปลอม ต้องเร่งสร้างความเท่าเทียมกันของเสรีภาพทางการค้าระหว่างไทยกับจีน หากแก้ไขได้ เชื่อว่าจะทำให้กรอบข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกลุ่มสมาชิกและไทยอย่างมาก
นายพิษณุ เหรียญมหาสาร รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตามกรอบเอฟทีเอ อาเซียน-จีน ถือเป็นเรื่องที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยได้รับประโยชน์โดยเฉพาะการค้าการลงทุนจากจีนจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น มีการลดภาษีตามกรอบเหลือร้อยละ 0 แม้ผลการตกลงตามกรอบเอฟทีเอ ไทย-จีน ในส่วนของผักและผลไม้ ที่เริ่มภาษีเหลือร้อยละ 0 มาแล้ว 2 ปี ซึ่งเกิดปัญหาอุปสรรคและกฎระเบียบต่างๆ ในพิธีการนำเข้าส่งออกของจีนเริ่มลดน้อยลง แต่ยอมรับว่าบางมณฑลของจีน ในส่วนของระเบียบและวิธีการนำเข้ายังยุ่งยากและลำบากอยู่บ้าง แต่ยังมั่นใจว่า หากภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันสร้างความสัมพันธ์ในเชิงลึก โดยเน้นเป็นพันธมิตรแต่ละมณฑล ก็เชื่อว่าจะทำให้แต่ละมณฑลผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคให้น้อยลง ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมไทยจะต้องมีการปรับตัวเอง ไม่ควรเข้าไปแข่งขันสินค้าบางรายการที่ไม่มีคุณภาพกับจีน แต่ควรหันมาปรับปรุงคุณภาพสินค้าไทย เน้นคุณภาพสินค้าตลาดบนที่จะเข้าไปทำตลาดจีนจะเหมาะสมกว่า เพราะขณะนี้ จีนมีการปรับคุณภาพสินค้า และไม่เพียงสินค้าเท่านั้น จีนยังมีการปรับตัวและพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งไม่แพ้ยุโรปและอเมริกา