กลุ่มใบหยก ทุ่มงบลงทุน 1,800 ล้านบาท รีโนเวตโรงแรมเก่าที่กรุงเทพและพัทยา พร้อมผุดโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ต คาดปีหน้าเริ่มก่อสร้างได้ หลังล้มเลิกการเจรจาไล่ซื้อโรงแรมเก่า เหตุไม่คุ้มค่า มุ่งสร้างแบรนด์ใบหยกให้ตลาดวงกว้างรู้จักมากขึ้นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ เผย 4 เดือนแรก ลูกค้าญี่ปุ่นหายไป 5% ส่วนอัตราใช้ห้องพักลดลง 10%
นายชัยพร มหาขันธ์ กรรมการบริหาร และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มโรงแรมใบหยก เปิดเผยแผนธุรกิจว่า ในปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า กลุ่มโรงแรมใบหยกจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ 300 ล้านบาท สำหรับรีโนเวตโรงแรมใบหยกทั้งที่กรุงเทพ และพัทยา ในที่นี้จะแบ่งงบออกมา 35 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงโรงแรมสเตลล่า พาเลซ ที่อยู่ด้านหลังของโรงแรมใบหยก กรุงเทพ ให้เป็นบูติกโฮเทล พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “ใบหยก บูติก โฮเทล” ขนาด 220 ห้อง รับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว และ กลุ่มคอปอร์เรท คาดว่าสิ้นปีจะทยอยเปิดให้บริการก่อน 150 ห้อง
สำหรับอีก 1,500 ล้านบาท จะใช้เพื่อลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า ทั้งนี้โรงแรมที่ภูเก็ต จะใช้แบรนด์ใบหยก เช่นเดียวกับที่กรุงเทพ และพัทยา เป็นโรงแรม 5 ดาว ขนาด 200 ห้อง ใช้พื้นที่ก่อสร้างไม่น้อยกว่า 5 ไร่
“เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต จึงมั่นใจในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งแผนเดิมจะเข้าซื้อกิจการโรงแรมเก่าแล้วมาปรับปรุง แต่สู้ราคาไม่ไหวใช้เวลาคุ้มทุนนานเกินไป จึงเห็นว่าควรที่จะซื้อที่แล้วสร้างเองจะดีกว่า เพื่อให้ได้คอนเซปต์ของโรงแรมใบหยกด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีนี้ เรามีแผนที่จะสร้างแบรนด์โรงแรมใบหยก ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว และ นักธุรกิจ ชูจุดขายที่เป็นโรงแรมคนไทย 100% ให้บริการแบบไทยๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะชื่นชอบมาก แต่ต้องยอมรับว่า โรงแรมของคนไทย จะเสียเปรียบเรื่องเน็ทเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง ที่สู้โรงแรมเชนระดับต่างประเทศ ที่มีเครือข่ายช่องทางจำหน่ายมากกว่า แต่ทั้งนี้มองว่า ทั้งโรงแรมใบหยก และ ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ต่างเร่งพัฒนาช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่ายเช่นกัน โดยเฉพาะด้านอีมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมีการเติบโตสูง
นักท่องเที่ยวลดรายได้วูบ10%
นายชัยพร กล่าวถึง สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวบางตลาดมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับโรงแรมใบหยก ลูกค้าตลาดหลักคือญี่ปุ่น มีสัดส่วนถึง 40% ของลูกค้าที่เข้ามาพักโรงแรม หรือประมาณ 1.1 แสนคนต่อปี ซึ่ง 4 เดือนที่ผ่านมามียอดลดลงไปราว 5% ขณะที่อัตราเข้าพักโดยรวมของโรงแรมลดลงเฉลี่ย 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 86% ทำให้ทางโรงแรมสูญเสียรายได้ประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งอาจมีผลทำให้รายได้ของโรงแรมปีนี้ลดลง 10% เช่นกันจากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท
ส่วนตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลูกค้าของใบหยกมากเป็นอันดับสอง มีสัดส่วน 20% ของลูกค้าทั้งหมดที่เข้ามาพักโรงแรมใบหยก ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์ ซึ่งหากนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ลูกค้าหายไปถึง 60% เมื่อสอบถามไปยังบริษัทนำเที่ยว ที่ต้อนรับลูกค้าจากตลาดสิงคโปร์ ก็มีรายงานแจ้งมาว่า ปีนี้ตลาดสิงคโปร์หายไปมากกว่า 50% มากที่สุดในรอบ 15ปี ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ทางการเมือง การลอบวางระเบิด ทำให้นักท่องเที่ยวกลัวเรื่องความไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น
“ในสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มผู้ประกอบการเองก็เข้าใจดีว่าทั้งรัฐบาลและ ททท. ได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่หากการเมืองยังไม่นิ่งเช่นนี้ ก็คงต้องก้มหน้ารับสถานการณ์ต่อไป หากอัตราเข้าพักที่ลดลง 10% ทางใบหยกยังพอรับมือไหว เพราะเรามีรายได้จากส่วนอื่นๆ เช่น เช่าพื้นที่ และ ภัตตาคาร”
อย่างไรก็ตาม โรงแรมใบหยกไม่มีนโยบายลดราคาเพื่อเรียกลูกค้า เพราะถือว่าราคาห้องพักที่ตั้งอยู่นี้ไม่สูงเกินไป เฉลี่ยที่ 1,500-2,000 บาท ต่อคืน โดยเฉพาะที่กรุงเทพ เราถือว่าขนาดห้องพักเราใหญ่กว่าคู่แข่งทั้งในย่านเดียวกัน ทั้งที่เป็นระดับเดียวกับเราคือ 4 ดาว และ ระดับ 5 ดาว แต่เราจะเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้า เช่น หากเป็นครอบครัว จะเพิ่มเตียงเสริมให้ โดยไม่ปรับเพิ่มราคา เป็นต้น
ทั้งนี้ลูกค้าของเราหลากหลายตลาด ทั้งในกลุ่มเอเชีย ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวและนักธุรกิจ ซึ่งการทำตลาดเน้นกลุ่มที่พาครอบครัวเที่ยวในช่วงปิดภาคเรียน
ล่าสุด โรงแรมใบหยก ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดห้องพักรับรองให้แก่คณะถ่ายทำภาพยนตร์ซีรี่ย์จากประเทศเกาหลี เรื่อง The Hour of Dog and Wolf ซึ่งทั้งคณะมีจำนวน 80 คน พักนาน 1 เดือน คาดว่าจะช่วยเพิ่มลูกค้าจากตลาดเกาหลีได้จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะรายได้จากภัตตาคารอาหารเกาหลี ที่ปัจจุบันได้บรรจุในโปรแกรมของนักท่องเที่ยวเกาหลี มีชาวเกาหลีมาใช้บริการกว่า 70% ของ จำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด และการสนับสนุนครั้งนี้จะช่วยสร้างชื่อโรงแรมใบหยกในตลาดเกาหลีได้เพิ่มขึ้น
นายชัยพร มหาขันธ์ กรรมการบริหาร และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มโรงแรมใบหยก เปิดเผยแผนธุรกิจว่า ในปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า กลุ่มโรงแรมใบหยกจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท แบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ 300 ล้านบาท สำหรับรีโนเวตโรงแรมใบหยกทั้งที่กรุงเทพ และพัทยา ในที่นี้จะแบ่งงบออกมา 35 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงโรงแรมสเตลล่า พาเลซ ที่อยู่ด้านหลังของโรงแรมใบหยก กรุงเทพ ให้เป็นบูติกโฮเทล พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “ใบหยก บูติก โฮเทล” ขนาด 220 ห้อง รับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว และ กลุ่มคอปอร์เรท คาดว่าสิ้นปีจะทยอยเปิดให้บริการก่อน 150 ห้อง
สำหรับอีก 1,500 ล้านบาท จะใช้เพื่อลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า ทั้งนี้โรงแรมที่ภูเก็ต จะใช้แบรนด์ใบหยก เช่นเดียวกับที่กรุงเทพ และพัทยา เป็นโรงแรม 5 ดาว ขนาด 200 ห้อง ใช้พื้นที่ก่อสร้างไม่น้อยกว่า 5 ไร่
“เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต จึงมั่นใจในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งแผนเดิมจะเข้าซื้อกิจการโรงแรมเก่าแล้วมาปรับปรุง แต่สู้ราคาไม่ไหวใช้เวลาคุ้มทุนนานเกินไป จึงเห็นว่าควรที่จะซื้อที่แล้วสร้างเองจะดีกว่า เพื่อให้ได้คอนเซปต์ของโรงแรมใบหยกด้วย”
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีนี้ เรามีแผนที่จะสร้างแบรนด์โรงแรมใบหยก ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว และ นักธุรกิจ ชูจุดขายที่เป็นโรงแรมคนไทย 100% ให้บริการแบบไทยๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะชื่นชอบมาก แต่ต้องยอมรับว่า โรงแรมของคนไทย จะเสียเปรียบเรื่องเน็ทเวิร์คมาร์เก็ตติ้ง ที่สู้โรงแรมเชนระดับต่างประเทศ ที่มีเครือข่ายช่องทางจำหน่ายมากกว่า แต่ทั้งนี้มองว่า ทั้งโรงแรมใบหยก และ ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ต่างเร่งพัฒนาช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่ายเช่นกัน โดยเฉพาะด้านอีมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมีการเติบโตสูง
นักท่องเที่ยวลดรายได้วูบ10%
นายชัยพร กล่าวถึง สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวบางตลาดมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับโรงแรมใบหยก ลูกค้าตลาดหลักคือญี่ปุ่น มีสัดส่วนถึง 40% ของลูกค้าที่เข้ามาพักโรงแรม หรือประมาณ 1.1 แสนคนต่อปี ซึ่ง 4 เดือนที่ผ่านมามียอดลดลงไปราว 5% ขณะที่อัตราเข้าพักโดยรวมของโรงแรมลดลงเฉลี่ย 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 86% ทำให้ทางโรงแรมสูญเสียรายได้ประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งอาจมีผลทำให้รายได้ของโรงแรมปีนี้ลดลง 10% เช่นกันจากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท
ส่วนตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลูกค้าของใบหยกมากเป็นอันดับสอง มีสัดส่วน 20% ของลูกค้าทั้งหมดที่เข้ามาพักโรงแรมใบหยก ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสิงคโปร์ ซึ่งหากนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ลูกค้าหายไปถึง 60% เมื่อสอบถามไปยังบริษัทนำเที่ยว ที่ต้อนรับลูกค้าจากตลาดสิงคโปร์ ก็มีรายงานแจ้งมาว่า ปีนี้ตลาดสิงคโปร์หายไปมากกว่า 50% มากที่สุดในรอบ 15ปี ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ทางการเมือง การลอบวางระเบิด ทำให้นักท่องเที่ยวกลัวเรื่องความไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น
“ในสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มผู้ประกอบการเองก็เข้าใจดีว่าทั้งรัฐบาลและ ททท. ได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่หากการเมืองยังไม่นิ่งเช่นนี้ ก็คงต้องก้มหน้ารับสถานการณ์ต่อไป หากอัตราเข้าพักที่ลดลง 10% ทางใบหยกยังพอรับมือไหว เพราะเรามีรายได้จากส่วนอื่นๆ เช่น เช่าพื้นที่ และ ภัตตาคาร”
อย่างไรก็ตาม โรงแรมใบหยกไม่มีนโยบายลดราคาเพื่อเรียกลูกค้า เพราะถือว่าราคาห้องพักที่ตั้งอยู่นี้ไม่สูงเกินไป เฉลี่ยที่ 1,500-2,000 บาท ต่อคืน โดยเฉพาะที่กรุงเทพ เราถือว่าขนาดห้องพักเราใหญ่กว่าคู่แข่งทั้งในย่านเดียวกัน ทั้งที่เป็นระดับเดียวกับเราคือ 4 ดาว และ ระดับ 5 ดาว แต่เราจะเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้า เช่น หากเป็นครอบครัว จะเพิ่มเตียงเสริมให้ โดยไม่ปรับเพิ่มราคา เป็นต้น
ทั้งนี้ลูกค้าของเราหลากหลายตลาด ทั้งในกลุ่มเอเชีย ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และ ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวและนักธุรกิจ ซึ่งการทำตลาดเน้นกลุ่มที่พาครอบครัวเที่ยวในช่วงปิดภาคเรียน
ล่าสุด โรงแรมใบหยก ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดห้องพักรับรองให้แก่คณะถ่ายทำภาพยนตร์ซีรี่ย์จากประเทศเกาหลี เรื่อง The Hour of Dog and Wolf ซึ่งทั้งคณะมีจำนวน 80 คน พักนาน 1 เดือน คาดว่าจะช่วยเพิ่มลูกค้าจากตลาดเกาหลีได้จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะรายได้จากภัตตาคารอาหารเกาหลี ที่ปัจจุบันได้บรรจุในโปรแกรมของนักท่องเที่ยวเกาหลี มีชาวเกาหลีมาใช้บริการกว่า 70% ของ จำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด และการสนับสนุนครั้งนี้จะช่วยสร้างชื่อโรงแรมใบหยกในตลาดเกาหลีได้เพิ่มขึ้น