ตลาดนาฬิกาไตรมาสแรกซึม ผู้ค้าโอดครวญเศรษฐกิจกระหน่ำ “อินโนเวชั่นไทม์” ระบุชะลอแผนขยายสู่โครงการจัดสรร พร้อมเร่งขยายจุดจำหน่ายในห้างเพิ่มให้ครบ 20 จุดปีนี้ ด้านศรีทองพาณิชย์หืดขึ้นคอ ยอดร่วง 8% เผยตลาดภูธรหนักสุดวูบ 30% อัดงบ 50 ล้านลุย เร่งเอาคืนครึ่งปีหลัง ชูแบรนด์ใหม่ วาการี ช่วยเพิ่มยอด สู่เป้าโต 10%
สภาพตลาดนาฬิกาในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ในสภาพเฉกเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง ส่งผลให้ยอดขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในขั้นทรงตัวหรือไม่ก็ติดลบ ต้องมีการปรับแผนการตลาดกันใหม่ เพื่อหวังแก้มือกู้ยอดขายกลับคืนมาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาสที่สามที่ถือเป็นช่วงฤดูกาลขายที่สำคัญที่สุดของตลาดนาฬิกา
อินโนเวชั่นชะลอแผนบุกโครงการ
นางสาวอิงอร ดิลกธราดล กรรมกรผู้จัดการ บริษัท อินโนเวชั่น ไทม์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ริธั่มจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองที่มีมาตลอด รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่นัก ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานของบริษัทฯบ้างพอสมควร โดยเฉพาะแผนการขยายสู่ตลาดและช่องทางการขายใหม่ๆที่จะเจาะเข้าการขายตรงเข้าโครงการหมู่บ้านจัดสรร ทำให้ต้องชะลอแผนการรุกรูปแบบนี้ออกไปก่อน
“ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี เราก็มีทำบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่เต็มที่นัก เพราะมาเจอปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ช่วงนี้คงชะลอไปก่อนไม่เน้นหนัก ตอนนี้เราต้องประคับประคองสถานการณ์แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังนี้คงจะรุกได้เต็มที่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมด้วยว่าเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางบริษัทฯเจ้าของริธั่ม จากญี่ปุ่นก็ได้เดินทางมายังประเทศไทย และได้มีการพูดคุยกันถึงสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ต่างๆในไทย เพื่อจะหาทางร่วมมือกันในการทำตลาดริธั่ม
อย่างไรก็ตามในส่วนของยอดขายโดยรวมของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกนี้ก็ไม่ได้ตกลงมากเท่าใด ยังอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้านี้ ซึ่งระดับราคาที่ยังขายดีที่สุดคือ ระดับแมส โดยที่บริษัทฯมีนาฬิกาขายอยู่ตั้งแต่ระดับราคา 400 กว่าบาทจนถึง 40,000 กว่าบาทต่อเรือน โดยเป็นปรกติอยู่แล้วที่ตลาดนาฬิกาในไตรมาสแรกจะไม่หวือหวา ส่วนไตรมาสสามจะเป็นช่วงฤดูขายที่ใหญ่ที่สุด
เร่งเพิ่มจุดขายในห้าง
ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจำหน่ายหลัก 2 ส่วนคือ 1.ดีลเลอร์ ซึ่งมีมากกว่า 700 รายทั่วประเทศ สัดส่วนรายได้จากช่องทางนี้มากกว่า 60% และช่วงสองไตรมาสแรกนี้ ยอดขายจากช่องทางนี้จะมีอัตราการเติบโตที่มากกว่า
อีกช่องทางคือ 2. ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ สัดส่วนจากช่องทางนี้ 40% ซึ่งมีประมาณ 12 จุดในเวลานี้ คือ เซ็นทรัลทุกสาขาในกรุงเทพฯ โรบินสันสาขารัชดาภิเษกและรังสิต อิเซตัน เดอะมอลล์สาขารามคำแหง ท่าพระ และบางกะปิ และเพิ่งเปิดที่โรบินสันเชียงใหม่ ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯเปิดจุดขายในห้างในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าที่จะขยายเพิ่มให้ครบ 20 จุด เช่น สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียมที่คาดว่าอีก 2-3 เดือนจะเปิดจุดขายได้ ซึ่งการขายในห้างสรรพสินค้านี้เป็นรูปแบบอยู่ในเคาน์เตอร์ของแผนกนาฬิกา จ่ายค่าเช่าเป็นจีพี
สำหรับงบประมาณทางด้านการตลาด เดิมเมื่อช่วงต้นปีนี้ได้ตั้งงบไว้ที่ 5% จากยอดขายรวมปีนี้ แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คาดว่าคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง รวมทั้งการปรับรูปแบบการทำตลาดและการส่งเสริมการขายให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย เช่น เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯได้จัดทำคาราวานพบดีลเลอร์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเยี่ยมเยียนบรรดาดีลเลอร์ทั้งหลายเพื่อพบปะและเปลี่ยนความเห็นและสภาพตลาดต่างๆกัน รวมทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับดีลเลอร์ได้ทางหนึ่งด้วย
นอกจากนั้นในเร็วๆนี้บริษัทฯเตรียมนำเข้านาฬิการุ่นใหม่ที่มีระดับราคาเรือนละแสนกว่าบาทเข้ามาจำหน่าย และถือเป็นครั้งแรกด้วยของบริษั?ที่จำหน่ายราคาระดับนี้ เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีรุ่นที่ราคาสูงจริงแต่ก็เป็นเพียงการนำเข้ามาโชว์เท่านั้น ซึ่งปรกติแล้วบริษัทฯจะวางตลาดรุ่นใหม่ๆ 4-5 แบบทุกเดือน ปัจจุบันมีจำหน่ายประมาณ 500 กว่าแบบ
โดยบริษัทฯคาดหวังว่าจากการเพิ่มจุดขายที่มากขึ้น รวมทั้งการปรับรูปแบบการทำตลาด และการออกสินค้าใหม่ๆมาตลอด อีกทั้งจะเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่สามและสี่แล้ว ซึ่งเป็นหน้าขายที่สำคัญของตลาดนาฬิกาจะเป็นตัวที่ช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทฯให้มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้วที่ทำรายได้รวมประมาณ 50-60 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันนาฬิกาแบรนด์ริธั่ม ถือว่าอยู่ในอันดับที่สองของตลาดนาฬิกาปลุกและแขวนผนังพรีเมียมในไทยที่มีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านบาท มีส่วนแบ่งประมาณ 30% โดยผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งมากกว่า 50% โดยนาฬิการิธั่มที่ทำตลาดในไทย แบ่งเป็น นาฬิกาปลุกและแขวนผนังมีสัดส่วนการขายมากที่สุดกว่า 40%, แบบไฮวูดเด้นเกรดประมาณ 15%, ไฮวูดเด้นคล้อก 15%, เมจิกโมชั่น 20% นาฬิกาตั้งโต๊ะ 10%
ศรีทองพาณิชย์ยอดตก8%
นางวิภาวรรณ มหาดำรงกุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีทองพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วง 3-4 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า ยอดขายรวมของศรีทองฯตกลงไปมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยตลาดต่างจังหวัดเช่นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ตกมากที่สุดกว่า 30% ส่วนภาคใต้ยังดีอยู่ และคาดว่าตลาดรวมคงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ทั้งนี้ศรีทองฯมีสัดส่วนรายได้จาก กรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%
สาเหตุที่ยอดขายลดลงเป็นผลกระทบมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภคและความไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งในตลาดรวมของนาฬิกาก็มียอดขายที่ตกลงเหมือนกันหลายค่าย ผู้ประกอบการต้องงัดกลยุทธ์มาใช้กันเต็มที่ โดยเฉพาะการจัดโปรโมชั่น ลดราคาขนานใหญ่
ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯจะต้องบุกตลาดมากขึ้นในทุกรูปแบบ จากนาฬิกาทั้งหมดที่ทำตลาดอยู่ทั้งสิ้น 7 แบรนด์ ประกอบด้วย แบรนด์มิโด ราโด บอลล์ แฮมิลตัน ซิติเซ็น โครโนเทค และล่าสุดที่เพิ่งนำเข้ามาเปิดตัวในเดือนนี้คือ วาการี จากประเทศญี่ปุ่นของกลุ่มซิติเซ็น โดยใช้งบตลาดรวมทั้งบริษัท 50 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้ 40 ล้านบาท เพื่อผลักดันยอดขายรวมเติบโต 10%
ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายนาฬิกาของศรีทองฯจะมาจากกลุ่มซิติเซ็น 40% และแบรนด์ที่เหลือที่มาจากค่ายสวิสเซอร์แลนด์ 60% โดยมีแบรนด์ ราโด มิโด และซิติเซ็นเป็นตัวทำรายได้หลัก
ดันแบรนด์ใหม่วาการีช่วยเพิ่มยอด
สำหรับแบรนด์ใหม่ล่าสุดคือ วาการี โดยจะมีระดับราคาประมาณ 8,000 – 30,000 บาทต่อเรือน และจะถือเป็นแบรนด์ที่เข้ามาเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 16-25 ปี ซึ่งถือเป็นการเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นอย่างชัดเจนและเต็มตัวครั้งแรกของศรีทองฯ เพราะที่ผ่านมาจะจับกลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่เป็นหลัก
ส่วนการทำตลาดนาฬิกาข้อมือแบรนด์วาการีนี้วางแผนที่จะสื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ นิตยสาร โทรทัศน์ สื่อโรงหนัง หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย โดยวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯหลาย 52 แห่ง เช่น เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอลล์ สยามพารากอน โดยในปีแรกจะจำหน่ายเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณทลก่อน ส่วนปีหน้าจะเดินหน้าเจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ตั้งงบตลาดไว้ 3 ลานบาท คาดมีส่วนแบ่ง 5% จากรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะไม่มีแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มอีกแล้ว เพราะสถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยนัก แต่การนำแบรนด์ วาการี เข้ามาครั้งนี้ นอกจากขยายกลุ่มป้าหมายสู่วัยรุ่นแล้ว ยังเป็นแบรนด์ที่บริษัทซิติเซ็นกรุ๊ปต้องการเปิดตัวพร้อมกันในหลายประเทศเช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
สำหรับการขยายจุดจำหน่ายในปีสี้คาดว่าจะเพิ่มรูปแบบชอปอินชอปของ ซิติเซ็น อีก 3 แห่ง จากเดิมที่มี 12 แห่ง และแบรนด์มิโด 4 แห่ง จากเดิมที่มี 4 แห่ง ส่วนช่องทางดีลเลอร์มีมากกว่า 500 ราย และในห้างอีกกว่า 40 แห่ง
สภาพตลาดนาฬิกาในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ในสภาพเฉกเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง ส่งผลให้ยอดขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในขั้นทรงตัวหรือไม่ก็ติดลบ ต้องมีการปรับแผนการตลาดกันใหม่ เพื่อหวังแก้มือกู้ยอดขายกลับคืนมาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาสที่สามที่ถือเป็นช่วงฤดูกาลขายที่สำคัญที่สุดของตลาดนาฬิกา
อินโนเวชั่นชะลอแผนบุกโครงการ
นางสาวอิงอร ดิลกธราดล กรรมกรผู้จัดการ บริษัท อินโนเวชั่น ไทม์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ริธั่มจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากปัญหาการเมืองที่มีมาตลอด รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่นัก ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินงานของบริษัทฯบ้างพอสมควร โดยเฉพาะแผนการขยายสู่ตลาดและช่องทางการขายใหม่ๆที่จะเจาะเข้าการขายตรงเข้าโครงการหมู่บ้านจัดสรร ทำให้ต้องชะลอแผนการรุกรูปแบบนี้ออกไปก่อน
“ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี เราก็มีทำบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่เต็มที่นัก เพราะมาเจอปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม แต่ช่วงนี้คงชะลอไปก่อนไม่เน้นหนัก ตอนนี้เราต้องประคับประคองสถานการณ์แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังนี้คงจะรุกได้เต็มที่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมด้วยว่าเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางบริษัทฯเจ้าของริธั่ม จากญี่ปุ่นก็ได้เดินทางมายังประเทศไทย และได้มีการพูดคุยกันถึงสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ต่างๆในไทย เพื่อจะหาทางร่วมมือกันในการทำตลาดริธั่ม
อย่างไรก็ตามในส่วนของยอดขายโดยรวมของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกนี้ก็ไม่ได้ตกลงมากเท่าใด ยังอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้านี้ ซึ่งระดับราคาที่ยังขายดีที่สุดคือ ระดับแมส โดยที่บริษัทฯมีนาฬิกาขายอยู่ตั้งแต่ระดับราคา 400 กว่าบาทจนถึง 40,000 กว่าบาทต่อเรือน โดยเป็นปรกติอยู่แล้วที่ตลาดนาฬิกาในไตรมาสแรกจะไม่หวือหวา ส่วนไตรมาสสามจะเป็นช่วงฤดูขายที่ใหญ่ที่สุด
เร่งเพิ่มจุดขายในห้าง
ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจำหน่ายหลัก 2 ส่วนคือ 1.ดีลเลอร์ ซึ่งมีมากกว่า 700 รายทั่วประเทศ สัดส่วนรายได้จากช่องทางนี้มากกว่า 60% และช่วงสองไตรมาสแรกนี้ ยอดขายจากช่องทางนี้จะมีอัตราการเติบโตที่มากกว่า
อีกช่องทางคือ 2. ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ สัดส่วนจากช่องทางนี้ 40% ซึ่งมีประมาณ 12 จุดในเวลานี้ คือ เซ็นทรัลทุกสาขาในกรุงเทพฯ โรบินสันสาขารัชดาภิเษกและรังสิต อิเซตัน เดอะมอลล์สาขารามคำแหง ท่าพระ และบางกะปิ และเพิ่งเปิดที่โรบินสันเชียงใหม่ ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯเปิดจุดขายในห้างในตลาดต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าที่จะขยายเพิ่มให้ครบ 20 จุด เช่น สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียมที่คาดว่าอีก 2-3 เดือนจะเปิดจุดขายได้ ซึ่งการขายในห้างสรรพสินค้านี้เป็นรูปแบบอยู่ในเคาน์เตอร์ของแผนกนาฬิกา จ่ายค่าเช่าเป็นจีพี
สำหรับงบประมาณทางด้านการตลาด เดิมเมื่อช่วงต้นปีนี้ได้ตั้งงบไว้ที่ 5% จากยอดขายรวมปีนี้ แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คาดว่าคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง รวมทั้งการปรับรูปแบบการทำตลาดและการส่งเสริมการขายให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย เช่น เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯได้จัดทำคาราวานพบดีลเลอร์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเยี่ยมเยียนบรรดาดีลเลอร์ทั้งหลายเพื่อพบปะและเปลี่ยนความเห็นและสภาพตลาดต่างๆกัน รวมทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับดีลเลอร์ได้ทางหนึ่งด้วย
นอกจากนั้นในเร็วๆนี้บริษัทฯเตรียมนำเข้านาฬิการุ่นใหม่ที่มีระดับราคาเรือนละแสนกว่าบาทเข้ามาจำหน่าย และถือเป็นครั้งแรกด้วยของบริษั?ที่จำหน่ายราคาระดับนี้ เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีรุ่นที่ราคาสูงจริงแต่ก็เป็นเพียงการนำเข้ามาโชว์เท่านั้น ซึ่งปรกติแล้วบริษัทฯจะวางตลาดรุ่นใหม่ๆ 4-5 แบบทุกเดือน ปัจจุบันมีจำหน่ายประมาณ 500 กว่าแบบ
โดยบริษัทฯคาดหวังว่าจากการเพิ่มจุดขายที่มากขึ้น รวมทั้งการปรับรูปแบบการทำตลาด และการออกสินค้าใหม่ๆมาตลอด อีกทั้งจะเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่สามและสี่แล้ว ซึ่งเป็นหน้าขายที่สำคัญของตลาดนาฬิกาจะเป็นตัวที่ช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทฯให้มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 20% จากปีที่แล้วที่ทำรายได้รวมประมาณ 50-60 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันนาฬิกาแบรนด์ริธั่ม ถือว่าอยู่ในอันดับที่สองของตลาดนาฬิกาปลุกและแขวนผนังพรีเมียมในไทยที่มีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านบาท มีส่วนแบ่งประมาณ 30% โดยผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งมากกว่า 50% โดยนาฬิการิธั่มที่ทำตลาดในไทย แบ่งเป็น นาฬิกาปลุกและแขวนผนังมีสัดส่วนการขายมากที่สุดกว่า 40%, แบบไฮวูดเด้นเกรดประมาณ 15%, ไฮวูดเด้นคล้อก 15%, เมจิกโมชั่น 20% นาฬิกาตั้งโต๊ะ 10%
ศรีทองพาณิชย์ยอดตก8%
นางวิภาวรรณ มหาดำรงกุล ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีทองพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วง 3-4 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า ยอดขายรวมของศรีทองฯตกลงไปมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยตลาดต่างจังหวัดเช่นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ตกมากที่สุดกว่า 30% ส่วนภาคใต้ยังดีอยู่ และคาดว่าตลาดรวมคงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ทั้งนี้ศรีทองฯมีสัดส่วนรายได้จาก กรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40%
สาเหตุที่ยอดขายลดลงเป็นผลกระทบมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภคและความไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งในตลาดรวมของนาฬิกาก็มียอดขายที่ตกลงเหมือนกันหลายค่าย ผู้ประกอบการต้องงัดกลยุทธ์มาใช้กันเต็มที่ โดยเฉพาะการจัดโปรโมชั่น ลดราคาขนานใหญ่
ทั้งนี้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯจะต้องบุกตลาดมากขึ้นในทุกรูปแบบ จากนาฬิกาทั้งหมดที่ทำตลาดอยู่ทั้งสิ้น 7 แบรนด์ ประกอบด้วย แบรนด์มิโด ราโด บอลล์ แฮมิลตัน ซิติเซ็น โครโนเทค และล่าสุดที่เพิ่งนำเข้ามาเปิดตัวในเดือนนี้คือ วาการี จากประเทศญี่ปุ่นของกลุ่มซิติเซ็น โดยใช้งบตลาดรวมทั้งบริษัท 50 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้ 40 ล้านบาท เพื่อผลักดันยอดขายรวมเติบโต 10%
ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายนาฬิกาของศรีทองฯจะมาจากกลุ่มซิติเซ็น 40% และแบรนด์ที่เหลือที่มาจากค่ายสวิสเซอร์แลนด์ 60% โดยมีแบรนด์ ราโด มิโด และซิติเซ็นเป็นตัวทำรายได้หลัก
ดันแบรนด์ใหม่วาการีช่วยเพิ่มยอด
สำหรับแบรนด์ใหม่ล่าสุดคือ วาการี โดยจะมีระดับราคาประมาณ 8,000 – 30,000 บาทต่อเรือน และจะถือเป็นแบรนด์ที่เข้ามาเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 16-25 ปี ซึ่งถือเป็นการเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นอย่างชัดเจนและเต็มตัวครั้งแรกของศรีทองฯ เพราะที่ผ่านมาจะจับกลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่เป็นหลัก
ส่วนการทำตลาดนาฬิกาข้อมือแบรนด์วาการีนี้วางแผนที่จะสื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ นิตยสาร โทรทัศน์ สื่อโรงหนัง หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย โดยวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯหลาย 52 แห่ง เช่น เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอลล์ สยามพารากอน โดยในปีแรกจะจำหน่ายเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณทลก่อน ส่วนปีหน้าจะเดินหน้าเจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ตั้งงบตลาดไว้ 3 ลานบาท คาดมีส่วนแบ่ง 5% จากรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะไม่มีแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มอีกแล้ว เพราะสถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยนัก แต่การนำแบรนด์ วาการี เข้ามาครั้งนี้ นอกจากขยายกลุ่มป้าหมายสู่วัยรุ่นแล้ว ยังเป็นแบรนด์ที่บริษัทซิติเซ็นกรุ๊ปต้องการเปิดตัวพร้อมกันในหลายประเทศเช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
สำหรับการขยายจุดจำหน่ายในปีสี้คาดว่าจะเพิ่มรูปแบบชอปอินชอปของ ซิติเซ็น อีก 3 แห่ง จากเดิมที่มี 12 แห่ง และแบรนด์มิโด 4 แห่ง จากเดิมที่มี 4 แห่ง ส่วนช่องทางดีลเลอร์มีมากกว่า 500 ราย และในห้างอีกกว่า 40 แห่ง