xs
xsm
sm
md
lg

คาดกระแสสุขภาพดันข้าวอินทรีย์ปีนี้โตร้อยละ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อานิสงส์จากกระแสผู้บริโภคตื่นตัว และห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จะช่วยทำให้ข้าวอินทรีย์ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ พร้อมคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกข้าวอินทรีย์กว่า 14,000 ตัน มูลค่า 1,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่าร้อยละ 20

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า จากปัจจุบันผู้บริโภคตื่นตัว และห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตสินค้าเกษตรโดยพึ่งพาสารเคมีเริ่มถูกปฏิเสธ และถูกกีดกันมากขึ้น ทำให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้รับความสนใจและจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกก็ได้ริเริ่มและทำการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งพืชสำคัญแรกๆ ที่มีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก คือ ข้าวอินทรีย์ โดยตลาดข้าวอินทรีย์เกือบทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (อียู) เนื่องจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับข้าวทั่วไป ทำให้ยอดจำหน่ายข้าวอินทรีย์ในประเทศขยายตัวไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ตลาดข้าวอินทรีย์ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากความต้องการของตลาดต่างประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันมีการส่งเสริมทั้งจากภาครัฐและเอกชนในการขยายการผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์

สำหรับข้าวอินทรีย์ที่ไทยผลิตได้ร้อยละ 96 ส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ คาดว่า ปริมาณการส่งออกข้าวอินทรีย์ในปี 2550 จะมีปริมาณ 14,400 ตัน มูลค่า 1,500 ล้านบาท หรือทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดหลักสำคัญ คือ ประเทศต่างๆ ในยุโรป ซึ่งความต้องการข้าวอินทรีย์ของตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15-20 ต่อปี นอกจากนี้ ตลาดมีแนวโน้มที่ผู้ส่งออกข้าวอินทรีย์ของไทยจะสามารถเจาะขยายตลาดได้มากขึ้น คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์คุณภาพดีกระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ โดยทั้งเนื้อที่เพาะปลูก และปริมาณผลผลิตข้าวอินทรีย์นั้น ไม่ถึงร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเนื้อที่ปลูกและปริมาณผลผลิตข้าวทั้งหมด นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับเนื้อที่ปลูกข้าวอินทรีย์ในตลาดโลกแล้ว ไทยยังอยู่ในอันดับ 5 รองจาก จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ แม้ว่าการส่งออกข้าวอินทรีย์ของไทยยังเป็นอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากประเทศที่เป็นแหล่งปลูกข้าวอินทรีย์ยังมีการบริโภคข้าวอินทรีย์ในประเทศ แต่ในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่ไทยอาจถูกแย่งตลาดข้าวอินทรีย์ หรือต้องเผชิญภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ถ้าประเทศเหล่านี้หันมาขยายพื้นที่การผลิตข้าวอินทรีย์ โดยคู่แข่งที่น่ากลัว คือ จีน ดังนั้น รัฐบาลและภาคเอกชนต้องเร่งส่งเสริมผลักดันให้มีการขยายการผลิตข้าวอินทรีย์อย่างจริงจังทั่วประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมความเข้าใจในหลักการผลิตข้าวอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานสากล และการจัดหาตลาดที่แน่นอน ซึ่งระบบการส่งเสริมที่ได้ผล คือ ระบบคอนแทรกต์ฟาร์มมิง และระบบสหกรณ์ เนื่องจากเกษตรกรที่อยู่ในโครงการมั่นใจว่า มีตลาดรองรับผลผลิต นอกจากผลิตเพื่อส่งออกแล้ว ยังสามารถขยายการผลิตเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น