รองประธานหอการค้าไทยเสนอรัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 โดยเร็ว เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ขณะเดียวกันห่วงสถานการณ์การว่างงานที่ส่อเค้ารุนแรงขึ้น หลังจากภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิตลง ขณะที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปีนี้
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 ให้มีประสิทธิภาพ โดยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรงร้อยละ 1 ต่อครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเร่งจับจ่ายใช้สอย และเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการทางภาษีช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยหรือผู้มีรายได้ปานกลางให้มีเงินจับจ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น เพราะหากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการเศรษฐกิจในไตรมาส 2 และ 3 จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้จะต่ำกว่าร้อยละ 4
“นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังเป็นห่วงสถานการณ์การว่างงาน เพราะภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิต ทำให้มีการลดจำนวนพนักงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลเป็นพิเศษ ขณะเดียวกัน ยังเป็นห่วงนักศึกษาจบใหม่อาจไม่มีงานทำ เพราะผลผลิตแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่แท้จริง” นายดุสิต กล่าว
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไตรมาส 1 ปี 2550 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.5-5 ต่ำกว่าไตรมาส 1 ปี 2549 ที่เติบโตร้อยละ 6.1 และคาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 4.3 ต่ำกว่าปี 2549 ที่เติบโตร้อยละ 5 เป็นผลมาจากการผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ที่การผลิตลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 15 เดือน ขณะที่การบริโภคลดลงเช่นกัน เห็นได้จากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม นายอัทธ์ ประเมินว่า ไตรมาส 3 เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากจะมีปัจจัยบวกเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จากปัจจุบันมีการเบิกจ่ายประมาณร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80 เม็ดเงินลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ หรือเมกกะโปรเจกต์อีก 70,000 ล้านบาท และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจะชัดเจนในไตรมาส 3 ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการบริโภคที่ยังลดลง ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนโดยเร็ว
สำหรับศักยภาพด้านการส่งออกปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประมง รองเท้า เส้นใยที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับคู่แข่งคือ เวียดนาม อินเดีย และประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมในการทำคลัสเตอร์กลุ่มไฟฟ้าและสิ่งทอ ทางหอการค้าไทยจึงเสนอให้รัฐบาลเน้นพึ่งตลาดในประเทศมากขึ้น โดยกระตุ้นการบริโภคและการผลิตในประเทศแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 ให้มีประสิทธิภาพ โดยเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรงร้อยละ 1 ต่อครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเร่งจับจ่ายใช้สอย และเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการทางภาษีช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยหรือผู้มีรายได้ปานกลางให้มีเงินจับจ่ายเพื่อการบริโภคมากขึ้น เพราะหากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการเศรษฐกิจในไตรมาส 2 และ 3 จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้จะต่ำกว่าร้อยละ 4
“นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังเป็นห่วงสถานการณ์การว่างงาน เพราะภาคอุตสาหกรรมชะลอการผลิต ทำให้มีการลดจำนวนพนักงาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลเป็นพิเศษ ขณะเดียวกัน ยังเป็นห่วงนักศึกษาจบใหม่อาจไม่มีงานทำ เพราะผลผลิตแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่แท้จริง” นายดุสิต กล่าว
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไตรมาส 1 ปี 2550 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.5-5 ต่ำกว่าไตรมาส 1 ปี 2549 ที่เติบโตร้อยละ 6.1 และคาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 4.3 ต่ำกว่าปี 2549 ที่เติบโตร้อยละ 5 เป็นผลมาจากการผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ที่การผลิตลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 15 เดือน ขณะที่การบริโภคลดลงเช่นกัน เห็นได้จากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม นายอัทธ์ ประเมินว่า ไตรมาส 3 เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากจะมีปัจจัยบวกเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้มีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จากปัจจุบันมีการเบิกจ่ายประมาณร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 80 เม็ดเงินลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ หรือเมกกะโปรเจกต์อีก 70,000 ล้านบาท และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจะชัดเจนในไตรมาส 3 ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการบริโภคที่ยังลดลง ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับคืนโดยเร็ว
สำหรับศักยภาพด้านการส่งออกปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประมง รองเท้า เส้นใยที่สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันให้กับคู่แข่งคือ เวียดนาม อินเดีย และประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมในการทำคลัสเตอร์กลุ่มไฟฟ้าและสิ่งทอ ทางหอการค้าไทยจึงเสนอให้รัฐบาลเน้นพึ่งตลาดในประเทศมากขึ้น โดยกระตุ้นการบริโภคและการผลิตในประเทศแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ