“รณพงศ์ คำนวณทิพย์” ถือเป็นนักบริการ นักการตลาดของวงการธุรกิจอีกคนหนึ่งที่มีฝีมือดี แต่บทบาทของเขาในวันนี้ คือ หัวเรือใหญ่ของ “พีพีดับบลิว” ที่นั่งบริหารมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างชื่อเสียงพีพีดับบลิว ให้โด่งดังและสำเร็จในเมืองไทยให้ได้
ทั้งนี้พีพีดับบลิวหรือบริษัท โปรโมชั่นแนล พาร์ทเนอร์ส เวิลดไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด คือผู้ดำเนินธุรกิจบริหารลิขสิทธิ์ และดำเนินการตลาดให้กับลูกค้า
ที่ผ่านมาถือได้ว่าประสบความสำเร็จในขั้นเบื้องต้นไปแล้ว แต่ความสำเร็จที่มากขึ้นจากนี้ไปคงไม่เกิดขึ้นหากไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือขยายบทบาททางด้านธุรกิจมากขึ้น เพื่อเป็นการขยายตลาดด้วย ซึ่ง “รณพงศ์” เองก็มองเห็นตรงนั้น ดังนั้นในปีนี้เขาจึงได้วางโครงสร้างธุรกิจของบริษัทใหม่
“ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะปรับบทบาทการดำเนินธุรกิจจากเดิมที่เป็นเพียงแค่โปรโมชั่นเอเจนซี่ หรือ ผู้บริหารลิขสิทธิ์หรือ เป็น มาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่ (Marketing Agency) สำหรับบทบาทใหม่จะทำให้บริษัทฯมีหน้าที่ที่มีขอบข่ายงานกว้างขึ้นครอบคลุมทั้งการวางแผนการตลาด การบริหารลิขสิทธิ์ การจัดกิจกรรม ให้กับลูกค้าด้วยในหลายรูปแบบทั้งออนกราวนด์ อินเทอร์แอคทีฟ สื่อออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งธุรกิจใหม่ได้เริ่มทดลองทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วและได้รับความสำเร็จอย่างดี โดยคาดว่าในปีนี้จะเริ่มธุรกิจนี้ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
สิ่งหนึ่งที่รณพงศ์มองถึงและให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ การที่ต้องสร้างโพซิชันนิ่งของบริษัทครั้งใหม่ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับลูกค้า ว่าบริษัทฯมีบริการอะไรบ้าง ซึ่งในต่างประเทศ เครือข่ายของพีพีดับบลิวมีธุรกิจหลายอย่างเช่น การสร้างแบรนด์ให้กับลูกค้า หรือการทำซีอาร์เอ็มให้ด้วย ตลอดจนการซื้อสื่อให้ด้วย
ทั้งนี้จากการขยายตัวครั้งนี้ ส่งผลให้โครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มพรีเมี่ยม ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารลิขสิทธิ์ การตลาดต่างๆ ในการทำเมอร์ชันไดส์ ซึ่งคาดว่า ปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 50% และ 2. กลุ่มมาร์เก็ตติ้ง แคมเปญ เอเจนซี่ ซึ่งจะทำหน้าที่เกี่ยวกับ การตลาดครบวงจร คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ปีนี้ประมาณ 50% เท่ากัน
การขยายบทบาทครั้งนี้ ทำให้บริษัทฯสามารถให้บริการลุกค้าได้มากขึ้นและขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นด้วย โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ที่จะเข้ามาใช้บริการ ประมาณ 4-5 ราย เช่น ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งมีงบประมาณรวมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท โดยลักษณะจะเป็นการที่ลูกค้าให้งบประมาณมาจำนวนหนึ่งแล้วให้ทางพีพีดับบลิวบริหารจัดการให้ทั้งหมด เช่น กรณีของ แบรนด์เถ้าแก่น้อยที่เริ่มทำปีที่แล้ว
สำหรับธุรกิจลิขสิทธ์นั้นเป็นด่านแรกที่ทำมาก็ยังมีอยู่ ล่าสุดก็คือ การบริหารลิขสิทธิ์ สไปเดอร์แมน ภาค 3 นั่นเอง และที่เตรียมจะเปิดตัวต่อไปคือ ลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์หมีแพนด้าของกีฬาโอลิมปิค 2008 ที่ปักกิ่ง และลิขสิทธิ์เมอร์ชันไดส์ทีมฟุตบอลบาร์เซโลน่า ซึ่งได้ทั้งทีม และยังมีลิขสิทธิ์เมอร์ชันไดส์หนังเรื่องเซิร์ฟอัพ อีกด้วย
ทั้งแนวคิดและการจัดการจากนี้ไป กับเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ในปีนี้ ว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 80-100 ล้านบาท และจะมีมาร์จิ้นประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ซึ่งเขามั่นใจว่าทำได้ไม่ยาก เพราะมั่นใจว่า แนวคิดมาถูกทาง ตลาดให้การยอมรับ และเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้สินค้าต้องการมืออาชีพเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง
บทบาทใหม่ของพีพีดับบลิว ที่มีความครบวงจรมากขึ้น จึงน่าจับตาถึงกลยุทธ์การรุกจากนี้ไป ว่าจะสร้างเม็ดเงินและความแข็งแกร่งตามที่ “รณพงศ์” คาดหวังไว้ได้หรือไม่