กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเริ่มสำรวจพื้นที่ตลาดสดที่เป็นร้านค้าโชห่วยดั่งเดิมของไทยทั่วประเทศ เพื่อเป็นพี่เลี้ยงและสร้างความเข้มแข็งให้สามารถแข่งขันกับห้างค้าปลีกยักษ์ได้ พร้อมปรับพื้นที่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดผู้บริโภคหันมาจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวควบคู่กันไป รวมทั้งเดินหน้าสร้างกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีไทยสู่ตลาดโลกด้วย
นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรมฯ กำลังศึกษาพื้นที่จำหน่ายร้านโชห่วยที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามที่นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันศึกษา ขณะนี้ร้านค้าปลีกดั้งเดิมของไทย (โชห่วย) ได้รับการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เข้าไปเปิดจำหน่ายสร้างความเดือดรอนให้กับโชห่วยในเขตพื้นที่ต่าง ๆ นั้น ซึ่งขณะนี้จะเข้าไปศึกษาว่าเขตพื้นที่ร้านโชห่วยในจังหวัดต่าง ๆ ไม่ว่าสมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอีกหลายจังหวัด เพราะเห็นว่าตลาดร้านค้าปลีกที่อยู่ในแหล่งชุมชนสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งในเชิงอนุรักษ์และจำหน่ายค้าปลีก เพื่อให้ร้านค้าชุมชนในร้านค้าปลีกในแหล่งชุมชนต่าง ๆ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ทั้งนี้ ในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปเปิดโครงการเสริมสร้างพัฒนาร้านค้าปลีกค้าส่งที่ จ.เชียงราย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสามารถปรับตัวที่จะแข่งขันกับภาคธุรกิจค้าส่งค้าปลีกต่อไปได้ ที่สำคัญขณะนี้กรมฯ กำลังประสานที่จะจัดทำโปรแกรม เพื่อให้ร้านโชห่วยสามารถนำระบบซอฟต์แวร์ไปพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การทำบัญชี การปรับธุรกิจ การปรับร้านค้าจำหน่าย ซึ่งจะทำให้ร้านค้าดังกล่าวสามารถรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคและมีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับร้านค้าปลีกของไทยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจแข่งขันต่อไปได้
นอกจากนี้ ยังจะดำเนินการสร้างเครือข่ายแบบเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้าส่งค้าปลีกและผู้ค้าปลีกรายใหญ่และผู้ค้าปลีกรายย่อย เพื่อให้สามารถจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ทางกรมฯ มีการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวนำร่องไปแล้วที่ จ.สกลนคร โคราช หาดใหญ่ และมีแนวทางที่จะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในอีกหลายจังหวัด ซึ่งเชื่อว่าแนวทางจะดำเนินการต่อไปนี้จะสามารถทำให้ธุรกิจร้านค้าโชห่วยของไทยมีการแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ได้ อีกทั้งจะศึกษาในตลาดสดที่จัดโครงการถนนคนเดิน ซึ่งกรมฯ จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงเพื่อพัฒนาให้การจัดตลาดถนนคนเดินสามารถดึงดูดผู้บริโภคเข้าไปเลือกซื้อสินค้า
นายคณิสสร กล่าวว่า นอกจากนี้กรมฯ ยังมีแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยที่จะต้องมีการปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์ เพราะเห็นว่าธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยมีศักยภาพ ที่ผ่านมายังขาดข้อมูลในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ในประเทศมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องกว่าร้อยละ 20 ต่อปี แต่ก็มีธุรกิจจำนวนมากต้องหยุดหรือเลิกกิจการ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ โดยส่วนใหญ่มีการลงทุนในธุรกิจด้วยแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง หรือขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศมากกว่า 450 ราย ดังนั้น ในปีนี้กรมฯ จึงมีแนวนโยบายและแผนดำเนินการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดฝึกอบรมการมองตลาด การพัฒนา การบริหาร และการจัดการ ซึ่งเห็นว่าธุรกิจแฟรนไชส์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสปา อาหาร ร้านอาหาร เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดในต่างประเทศ แต่ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยส่วนมากขาดประสบการณ์และลู่ทางในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่กรมฯ จะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการส่งออกพัฒนาผลักดันให้ธุริกจแฟรนไชส์ไทยไปสู่ตลาดโลกมากขึ้นต่อไป
นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า กรมฯ กำลังศึกษาพื้นที่จำหน่ายร้านโชห่วยที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามที่นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันศึกษา ขณะนี้ร้านค้าปลีกดั้งเดิมของไทย (โชห่วย) ได้รับการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เข้าไปเปิดจำหน่ายสร้างความเดือดรอนให้กับโชห่วยในเขตพื้นที่ต่าง ๆ นั้น ซึ่งขณะนี้จะเข้าไปศึกษาว่าเขตพื้นที่ร้านโชห่วยในจังหวัดต่าง ๆ ไม่ว่าสมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอีกหลายจังหวัด เพราะเห็นว่าตลาดร้านค้าปลีกที่อยู่ในแหล่งชุมชนสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งในเชิงอนุรักษ์และจำหน่ายค้าปลีก เพื่อให้ร้านค้าชุมชนในร้านค้าปลีกในแหล่งชุมชนต่าง ๆ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ทั้งนี้ ในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปเปิดโครงการเสริมสร้างพัฒนาร้านค้าปลีกค้าส่งที่ จ.เชียงราย เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสามารถปรับตัวที่จะแข่งขันกับภาคธุรกิจค้าส่งค้าปลีกต่อไปได้ ที่สำคัญขณะนี้กรมฯ กำลังประสานที่จะจัดทำโปรแกรม เพื่อให้ร้านโชห่วยสามารถนำระบบซอฟต์แวร์ไปพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การทำบัญชี การปรับธุรกิจ การปรับร้านค้าจำหน่าย ซึ่งจะทำให้ร้านค้าดังกล่าวสามารถรองรับและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคและมีความทันสมัย ซึ่งถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับร้านค้าปลีกของไทยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจแข่งขันต่อไปได้
นอกจากนี้ ยังจะดำเนินการสร้างเครือข่ายแบบเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้าส่งค้าปลีกและผู้ค้าปลีกรายใหญ่และผู้ค้าปลีกรายย่อย เพื่อให้สามารถจับคู่ทางธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ทางกรมฯ มีการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวนำร่องไปแล้วที่ จ.สกลนคร โคราช หาดใหญ่ และมีแนวทางที่จะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในอีกหลายจังหวัด ซึ่งเชื่อว่าแนวทางจะดำเนินการต่อไปนี้จะสามารถทำให้ธุรกิจร้านค้าโชห่วยของไทยมีการแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ได้ อีกทั้งจะศึกษาในตลาดสดที่จัดโครงการถนนคนเดิน ซึ่งกรมฯ จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงเพื่อพัฒนาให้การจัดตลาดถนนคนเดินสามารถดึงดูดผู้บริโภคเข้าไปเลือกซื้อสินค้า
นายคณิสสร กล่าวว่า นอกจากนี้กรมฯ ยังมีแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยที่จะต้องมีการปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตน์ เพราะเห็นว่าธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยมีศักยภาพ ที่ผ่านมายังขาดข้อมูลในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ในประเทศมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องกว่าร้อยละ 20 ต่อปี แต่ก็มีธุรกิจจำนวนมากต้องหยุดหรือเลิกกิจการ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ โดยส่วนใหญ่มีการลงทุนในธุรกิจด้วยแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง หรือขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศมากกว่า 450 ราย ดังนั้น ในปีนี้กรมฯ จึงมีแนวนโยบายและแผนดำเนินการพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการจัดฝึกอบรมการมองตลาด การพัฒนา การบริหาร และการจัดการ ซึ่งเห็นว่าธุรกิจแฟรนไชส์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสปา อาหาร ร้านอาหาร เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดในต่างประเทศ แต่ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยส่วนมากขาดประสบการณ์และลู่ทางในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่กรมฯ จะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการส่งออกพัฒนาผลักดันให้ธุริกจแฟรนไชส์ไทยไปสู่ตลาดโลกมากขึ้นต่อไป