xs
xsm
sm
md
lg

เอสเอฟซุ่มศึกษาธุรกิจใหม่ดูดเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธุรกิจโรงภาพยนตร์มาแรงรอบ 10 ปี โตพรวด 30% จาก 3,400 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เหตุรับอานิสงส์หนังฮอลลีวูด จ่อคิวเข้าฉายเพียบ เสริมทัพด้วยหนังไทยมีดีกรีเรียกคนดูมากขึ้น พร้อมด้วยโรงภาพยนตร์แห่ขยายสาขาเพิ่ม “เอสเอฟ” ทุ่มเงินกว่า 1,250 ล้าน ผุดโรงหนังเพิ่มอีก 4 สาขา หรือกว่า 6,500 ที่นั่ง ล่าสุด เปิดตัว “เอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า” เป็นสาขาที่2 มั่นใจมีรายได้โตขึ้นอีก 30% จาก 1,500 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา พร้อมซุ่มเงียบศึกษาธุรกิจใหม่

นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอฟซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีทองของธุรกิจโรงภาพยนตร์ในรอบ 10 ปี ก็ว่าได้ เนื่องจากตลอดทั้งปีนี้ มีภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์เข้าฉายตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น สไปเดอร์แมน 3, ไพรเรท ออฟ เดอะ คาริบเบี้ยน หรือแม้แต่ แฮร์รี่พอตเตอร์ อีกทั้งภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายก็ล้วนแต่ได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างมาก จนทำให้ในปีนี้มีภาพยนตร์ไทย ที่มีรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท มีหลายเรื่อง เช่น นเรศวรมหาราช

ขณะเดียวกัน ผู้ชมมีตัวเลือกในการเข้าชมภาพยนตร์มากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์มีการขยายสาขาเพื่อรองรับความต้องการของผู้ชมในแต่ละทำเลให้เข้าถึงมากยิ่งขึ้น จึงคาดว่าในปีนี้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ทั้งอุตสาหกรรม คาดว่า น่าจะเติบโตอย่างน้อย 30% จาก 3,400 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทนั้น ปีนี้มีแผนในการลงทุนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา ผ่านงบการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,250 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ได้แก่ เซ็นทรัล รามอินทรา เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยใช้งบลงทุนไป 150 ล้านบาท ส่วนอีก 2 สาขา คือ เดอะมอลล์ ท่าพระ ใช้งบลงทุน 180 ล้านบาท จำนวน 1,500 ที่นั่ง มีทั้งหมด 7โรง และที่ศูนย์การค้าจังซีลอน จังหวัดภูเก็ต ลงทุน 120 ล้านบาท จำนวน 1,200 ที่นั่ง ทั้งหมด 5 โรง ซึ่งทั้ง 2 สาขานี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ของปีนี้

ส่วนอีก 1 สาขาที่เหลือนั้น ล่าสุดทางบริษัทฯพร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้ ภายใต้ชื่อ “เอสเอฟ เวิลด์ ซีนีม่า” ณ ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งใช้งบการลงทุนไปกว่า 800 ล้านบาท มีทั้งหมด 15 โรง มาพร้อมแนวความคิด “The Most Hip & Chic Theatre” เจาะกลุ่มคนดูหนังทั่วไป ทั้ง วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ช่วงอายุระหว่าง 16-25 ปี ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง และชมภาพยนตร์ พร้อมทั้งมีการทำการตลาดแบบครบวงจร ด้วยงบการตลาดอีก 50 ล้านบาท คาดว่าสาขาดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด 5-6% หรือทำให้เอสเอฟมีส่วนแบ่งทางการตลาดจาก 28% เป็น 32% ในปีนี้

“แผนการลงทุนดังกล่าวนี้ ทางบริษัทฯจะเน้นธุรกิจโรงภาพยนตร์เป็นหลัก มากกว่าธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเม้นต์อย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจโบว์ลิ่ง และคาราโอเกะนั้น สำหรับสาขา เอสเอฟ เวิลด์ จะไม่มี เนื่องจากมองว่า ธุรกิจทั้ง 2 อย่างนี้เริ่มไม่มีการเติบโตเท่าไรนัก อีกทั้งในตลาดยังมีการแข่งขันกันรุนแรงอีกด้วย ทางบริษัทฯจึงมีแผนที่จะทำธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นต์แบบอื่นแทน แต่ในขณะนี้ยังอยู่ในการขั้นตอนของการศึกษาอยู่ เช่น เกมส์โซน ซึ่งในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นต์มาไว้ในโรงภาพยนตร์ดังกล่าวแน่นอน”

นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง ตั้งแต่บริเวณสี่แยกปทุมวัน ไปจนถึง ถนนสุขุมวิท หรือแถวห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม ถือเป็นทำเลที่มีการแข่งขันทางด้านธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่างรุนแรง จากจำนวนโรงภาพยนตร์ไม่ต่ำกว่า 70 โรง หรือประมาณ 1 หมื่นที่นั่ง จึงทำให้บริษัทฯต้องมีการวางแผนลงทุนและทำตลาดให้รอบคอบ

ดังนั้นในส่วนของธุรกิจโบว์ลิ่งนั้น จึงคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับทำเลที่มีการแข่งขันน้อย และตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี จึงได้นำธุรกิจโบว์ลิ่งไปเปิดให้บริการในสาขาต่างจังหวัด อย่างศูนย์การค้าจังซีลอนแทนการให้บริการในกรุงเทพฯ

“จากแผนการลงทุนขยายสาขาและการทำตลาดในปีนี้ มั่นใจว่าสิ้นปีบริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างน้อย 30 % จาก 1,500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยมาจาก ธุรกิจการจำหน่ายตั๋วหนัง 1,200 ล้านบาท อาหารเครื่องดื่มและบริการอื่นๆอีก 300 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าว ถือเป็นการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดรวมปีนี้อีกด้วย” นายสุวิทย์ กล่าวในที่สุด




กำลังโหลดความคิดเห็น