"ชัยโรจน์ ศรีเดชะรินทร์กุล”ได้เข้ามามีบทบาทในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป บริษัท แซมโซไนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งบริหารสินค้ากระเป๋าเดินทางหรู แบรนด์ แซมโซไนท์ ตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา เพื่อกำหนดนโยบายด้านการขาย กิจกรรมการตลาดและการกำกับดูแลด้านช่องทางการจำหน่ายแซมโซไนท์ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์และความชำนาญด้านสินค้าแฟชั่นในเมืองไทยมากว่า 10 ปี โดยก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับ Club 21 เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี
ในตำแหน่ง Division Manager มีบทบาทรับผิดชอบสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม อาทิเช่น DKNY,CK Calvin Klien, Paul Smith ,Diesel ก่อนหน้านั้นได้ร่วมกับบริษัท Durex เป็นระยะเวลา 1 ปี ในตำแหน่ง Product Manager โดยรับผิดชอบด้านกิจกรรมการตลาดและการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ ชัยโรจน์จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สาขาบริหารธุรกิจ และ ได้เริ่มงานกับ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด เป็นที่แรกโดยดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี โดยมีบทบาทรับผิดชอบผลิตภัณฑ์นาฬิกา คาสิโอ G- Shok, Baby-G และนาฬิกา Guess ซึ่งเป็นที่ที่ได้เรียนรู้และสนุกกับงานด้านกิจกรรมการขายและการตลาด
อย่างไรก็ตามเขาก็มีความสนใจด้านไลฟ์สไตล์แฟชั่น และชอบศึกษาด้านกลยุทธ์การตลาด โดยได้มีโอกาสเข้าอบรมในโครงการ Marketing Director" รุ่นที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี 2546 การเข้ามาคุมบังเหียนแซมโซไนท์เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าสนใจไม่น้อบยกับการบริหารองค์กรดังกล่าวนี้ให้เดินหน้าไปอย่างสง่างาม ทั้งในแง่การตลาด การบริหาร และกลยุทธ์ต่างๆ และการแยกเซ็กเมนต์ของสินค้าเพื่อจับให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย " แซมโซไนท์ แบล็คเลเบิล” จับกลุ่มนักเดินทางระดับบน ผลิตภัณฑ์จะเป็นสินค้าระดับหรูมีระดับ ได้รับการออกแบบโดยมีดีไซน์เนอร์ชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น อเล็กเซนเดอร์ แม็กควีน,มาร์ค นิวสัน
สำหรับแบรนด์แซมโซไนท์ดั้งเดิม จะเน้นปรับตำแหน่งของแบรนด์ให้เป็นสินค้าที่ใช้นวัตกรรมชั้นสูงและมีคุณภาพสูง ใช้วัสดุเกรดดีขึ้นในขณะที่แบรนด์อเมริกาทัวร์ริสเตอร์ จะเป็นผลิตภัณฑ์จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางเพื่อการเติมเต็มตลาดทุกระดับ และราคาสินค้าก็สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยแบรนด์แซมโซไนท์และแซมโซไนท์ แบล็คเลเบิลจะแพงกว่าที่ประเทศฮ่องกงเพียง 10% และถูกกว่าในยุโรป 10% สำหรับแบรนด์อเมริกันทัวริสเตอร์แนวทางการทำตลาดตามความคิดของชัยโรจน์จะมี 3 ปัจจัยหลักคือ การขยายสินค้าให้ครบไลน์ 2.พัฒนาบริการตลอดเวลา 3.การทำราคาให้แข่งขันกับตลาดได้ ชัยโรจน์มีเป้าหมายที่ต้องการขยายตลาดของแซมโซไนท์ให้มากขึ้น วิธีหนึ่งคือการเพิ่มช่องทางเพื่อให้สามารถครอบคลุมลูกค้าเชิงลึก
โดยจะเปิดร้านแซมโซไนท์ 8 แห่ง และเปิดร้านแซมโซไนท์ แบล็ค เลเบิลอีก 2 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีล่าสุดได้พื้นที่ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า 170 ตารางเมตร เปิดเป็นชอปแซมโซไนท์ใช้งบลงทุนกว่า 25 ล้านบาท
นอกจากนี้เจรจากับกลุ่มนักลงทุนที่จังหวัดอุดรธานีเพื่อจับมือกันขยายชอปด้วยในรูปแบบแฟรนไชส์ ขณะเดียวกันเขาก็วางแผนขยายไลน์สินค้าใหม่ๆเข้าตลาดโดยจะใช้อเมริกัน ทัวริสเตอร์ เป็นซับแบรนด์รุกเข้าในส่วนของไฮเปอร์มาร์เก็ต คาดว่าจะเปิดได้ที่บิ๊กซีในช่วงไตรมาสที่4 การเจาะเข้าตลาดไฮเปอร์ครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ของแซมโซไนท์ ภายหลังจากที่กลุ่มสินค้า แซมโซไนท์ ได้ถูกแยกออกมาจากเดิมที่เป็นการร่วมมือในครั้งแรก กับกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (ซีเอ็มจี)ในการร่วมทำตลาด เพียงเกือบปีที่ผ่านไป ถือได้ว่า ชัยโรจน์ ได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นในระดับหนึ่งแล้ว แต่จากนี้ไป เขายังคงต้องรับภาระหนักในการบริหารจัดการสร้างยอดขายให้ได้มากขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้
ในตำแหน่ง Division Manager มีบทบาทรับผิดชอบสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม อาทิเช่น DKNY,CK Calvin Klien, Paul Smith ,Diesel ก่อนหน้านั้นได้ร่วมกับบริษัท Durex เป็นระยะเวลา 1 ปี ในตำแหน่ง Product Manager โดยรับผิดชอบด้านกิจกรรมการตลาดและการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ ชัยโรจน์จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สาขาบริหารธุรกิจ และ ได้เริ่มงานกับ บริษัท เซ็นทรัลเทรดดิ้ง จำกัด เป็นที่แรกโดยดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี โดยมีบทบาทรับผิดชอบผลิตภัณฑ์นาฬิกา คาสิโอ G- Shok, Baby-G และนาฬิกา Guess ซึ่งเป็นที่ที่ได้เรียนรู้และสนุกกับงานด้านกิจกรรมการขายและการตลาด
อย่างไรก็ตามเขาก็มีความสนใจด้านไลฟ์สไตล์แฟชั่น และชอบศึกษาด้านกลยุทธ์การตลาด โดยได้มีโอกาสเข้าอบรมในโครงการ Marketing Director" รุ่นที่ 3 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี 2546 การเข้ามาคุมบังเหียนแซมโซไนท์เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าสนใจไม่น้อบยกับการบริหารองค์กรดังกล่าวนี้ให้เดินหน้าไปอย่างสง่างาม ทั้งในแง่การตลาด การบริหาร และกลยุทธ์ต่างๆ และการแยกเซ็กเมนต์ของสินค้าเพื่อจับให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย " แซมโซไนท์ แบล็คเลเบิล” จับกลุ่มนักเดินทางระดับบน ผลิตภัณฑ์จะเป็นสินค้าระดับหรูมีระดับ ได้รับการออกแบบโดยมีดีไซน์เนอร์ชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น อเล็กเซนเดอร์ แม็กควีน,มาร์ค นิวสัน
สำหรับแบรนด์แซมโซไนท์ดั้งเดิม จะเน้นปรับตำแหน่งของแบรนด์ให้เป็นสินค้าที่ใช้นวัตกรรมชั้นสูงและมีคุณภาพสูง ใช้วัสดุเกรดดีขึ้นในขณะที่แบรนด์อเมริกาทัวร์ริสเตอร์ จะเป็นผลิตภัณฑ์จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางเพื่อการเติมเต็มตลาดทุกระดับ และราคาสินค้าก็สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยแบรนด์แซมโซไนท์และแซมโซไนท์ แบล็คเลเบิลจะแพงกว่าที่ประเทศฮ่องกงเพียง 10% และถูกกว่าในยุโรป 10% สำหรับแบรนด์อเมริกันทัวริสเตอร์แนวทางการทำตลาดตามความคิดของชัยโรจน์จะมี 3 ปัจจัยหลักคือ การขยายสินค้าให้ครบไลน์ 2.พัฒนาบริการตลอดเวลา 3.การทำราคาให้แข่งขันกับตลาดได้ ชัยโรจน์มีเป้าหมายที่ต้องการขยายตลาดของแซมโซไนท์ให้มากขึ้น วิธีหนึ่งคือการเพิ่มช่องทางเพื่อให้สามารถครอบคลุมลูกค้าเชิงลึก
โดยจะเปิดร้านแซมโซไนท์ 8 แห่ง และเปิดร้านแซมโซไนท์ แบล็ค เลเบิลอีก 2 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีล่าสุดได้พื้นที่ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า 170 ตารางเมตร เปิดเป็นชอปแซมโซไนท์ใช้งบลงทุนกว่า 25 ล้านบาท
นอกจากนี้เจรจากับกลุ่มนักลงทุนที่จังหวัดอุดรธานีเพื่อจับมือกันขยายชอปด้วยในรูปแบบแฟรนไชส์ ขณะเดียวกันเขาก็วางแผนขยายไลน์สินค้าใหม่ๆเข้าตลาดโดยจะใช้อเมริกัน ทัวริสเตอร์ เป็นซับแบรนด์รุกเข้าในส่วนของไฮเปอร์มาร์เก็ต คาดว่าจะเปิดได้ที่บิ๊กซีในช่วงไตรมาสที่4 การเจาะเข้าตลาดไฮเปอร์ครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นการเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ของแซมโซไนท์ ภายหลังจากที่กลุ่มสินค้า แซมโซไนท์ ได้ถูกแยกออกมาจากเดิมที่เป็นการร่วมมือในครั้งแรก กับกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (ซีเอ็มจี)ในการร่วมทำตลาด เพียงเกือบปีที่ผ่านไป ถือได้ว่า ชัยโรจน์ ได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นในระดับหนึ่งแล้ว แต่จากนี้ไป เขายังคงต้องรับภาระหนักในการบริหารจัดการสร้างยอดขายให้ได้มากขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้