การท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดท่าเทียบเรือใหม่ “เอศูนย์” ที่แหลมฉบัง ให้เอกชนเช่าประกอบการ พร้อมนำระบบเทคโนโลยีระบบมาตรฐานโลกมาใช้ มั่นใจรองรับสินค้าได้ 750,000 ตันต่อปี และรับตู้สินค้าได้ 300,000 ทีอียู
นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดท่าเทียบเรือชายฝั่งและอเนกประสงค์ หรือท่าเทียบเรือ A0 (เอ ศูนย์) ของบริษัท แอล ซี เอ็ม จำกัด ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ว่า ท่าเทียบเรือแห่งนี้ จะเป็นท่าเทียบเรืออเนกประสงค์แห่งใหม่ ภายในท่าเรือแหลมฉบัง ที่จะนำเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในระดับมาตรฐานโลกมาใช้ เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
ทั้งนี้ การสร้างท่าเรือแห่งนี้ขึ้นมา สืบเนื่องมาจากความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของท่าเรือแหลมฉบัง ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ท่าเรือที่เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำเพียงอย่างเดียว แต่การดำเนินการที่ท่าเรือแหลมฉบังทุกด้าน ได้ถูกรวมไว้เกี่ยวกับเรื่องระบบลอจิสติกส์ และเป็นหนึ่งในระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ หรือ มัลติโมเดิร์น ทรานสปอร์ตเทชัน หรือการรับส่งสินค้าถึงประตูบ้าน ที่เรียกว่า Door to Door ด้วย ซึ่งการมีท่าเรือเอศูนย์ เพิ่มขึ้นมา จะช่วยให้เป้าหมายประเทศไทยที่จะเป็น “ลอจิสติกส์ ฮับ” ที่สมบูรณ์แบบเป็นไปได้ง่าย และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการขนส่งสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้น
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวด้วยว่า สำหรับจุดเด่นของท่าเทียบเรือแห่งนี้ คือ การนำเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในระดับมาตรฐานโลกมาใช้ เพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น โดยท่าเทียบเรือแห่งนี้ มีความยาวหน้าท่า 590 เมตร ลึก 14 เมตร มีขีดความสามารถในการรองรับสินค้าทั่วไป ที่ขนส่งโดยเรือลำเลียง, เรือเดินทะเลชายฝั่ง และเรือ Coventional ปีละประมาณ 750,000 ตัน และมีขีดความสามารถในการรับตู้สินค้าปีละ 300,000 ทีอียู โดยมีบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด เป็นผู้เช่าลงทุนบริหารและประกอบการเป็นท่าเทียบเรือชายฝั่งและอเนกประสงค์
นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดท่าเทียบเรือชายฝั่งและอเนกประสงค์ หรือท่าเทียบเรือ A0 (เอ ศูนย์) ของบริษัท แอล ซี เอ็ม จำกัด ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ว่า ท่าเทียบเรือแห่งนี้ จะเป็นท่าเทียบเรืออเนกประสงค์แห่งใหม่ ภายในท่าเรือแหลมฉบัง ที่จะนำเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในระดับมาตรฐานโลกมาใช้ เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
ทั้งนี้ การสร้างท่าเรือแห่งนี้ขึ้นมา สืบเนื่องมาจากความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของท่าเรือแหลมฉบัง ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ท่าเรือที่เชื่อมต่อการขนส่งระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำเพียงอย่างเดียว แต่การดำเนินการที่ท่าเรือแหลมฉบังทุกด้าน ได้ถูกรวมไว้เกี่ยวกับเรื่องระบบลอจิสติกส์ และเป็นหนึ่งในระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ หรือ มัลติโมเดิร์น ทรานสปอร์ตเทชัน หรือการรับส่งสินค้าถึงประตูบ้าน ที่เรียกว่า Door to Door ด้วย ซึ่งการมีท่าเรือเอศูนย์ เพิ่มขึ้นมา จะช่วยให้เป้าหมายประเทศไทยที่จะเป็น “ลอจิสติกส์ ฮับ” ที่สมบูรณ์แบบเป็นไปได้ง่าย และจะช่วยเพิ่มมูลค่าการขนส่งสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้น
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวด้วยว่า สำหรับจุดเด่นของท่าเทียบเรือแห่งนี้ คือ การนำเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในระดับมาตรฐานโลกมาใช้ เพื่อให้บริการมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น โดยท่าเทียบเรือแห่งนี้ มีความยาวหน้าท่า 590 เมตร ลึก 14 เมตร มีขีดความสามารถในการรองรับสินค้าทั่วไป ที่ขนส่งโดยเรือลำเลียง, เรือเดินทะเลชายฝั่ง และเรือ Coventional ปีละประมาณ 750,000 ตัน และมีขีดความสามารถในการรับตู้สินค้าปีละ 300,000 ทีอียู โดยมีบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด เป็นผู้เช่าลงทุนบริหารและประกอบการเป็นท่าเทียบเรือชายฝั่งและอเนกประสงค์