แอล เอ ไบซิเคิ้ล เท 50 ล้าน ส่งน้องใหม่จักรยาน สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เปิดตลาด ชูคอนเซ็ปต์ 2 ล้อ ไม่ง้อน้ำมัน เป้าแรกโฟกัสกลุ่มคนในหมู่บ้าน และวินมอเตอร์ไซค์ โวยอดปีแรกกวาดรายได้เข้ากระเป๋ากว่า 200 ล้านแน่
นายสุรสิทธิ์ ติยะวัชระพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท แอล เอ ไบซิเคิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายจักรยานแอล เอ เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวโปรโมตและประชาสัมพันธ์โปรดักต์ไลน์ใหม่จักรยานไฟฟ้า และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแอล เอ อี-ไรด์ จำนวน 5 รุ่น ราคา 8,000-15,000 บาท จากที่ได้ศึกษาและทำตลาดโปรเจกต์นี้มา 5 ปีแล้วจึงทำตลาด
สำหรับการเลือกนำสินค้ากลุ่มนี้เข้ามาทำตลาด เนื่องจากบริษัทได้เล็งเห็นสถานการณ์ รวมทั้งประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านพลังงาน อาทิ พลังงานจากธรรมชาติเริ่มหมดไป ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งปรากฏการณ์โลกร้อน เนื่องจากถูกทำลายจากมลพิษชั้นบรรยากาศ การจัดส่งสินค้าจักรยานไฟฟ้า และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า E-Ride ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการเดินทางทดแทนการใช้พลังงานจากน้ำมัน
กลุ่มเป้าหมายแรกบริษัทจะเน้นจับกลุ่มคนเมืองที่อาศัยในหมูบ้านต่างๆ และแม่บ้านที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางระยะใกล้ รวมถึงวินมอเตอร์ไซค์ เพราะกลุ่มดังกล่าวมองว่าไม่ต้องเสียเงินในการเติมน้ำมันมากที่สุด การใช้พลังงานจากการชาร์ตไฟ ซึ่ง 1 ครั้ง สามารถขับขี่ได้ระยะทางมากกว่า 30 กิโลเมตร หรือเสียค่าใช้จ่ายเพียง 3.4 บาท เมื่อเทียบกับรถมอเตอร์ไซค์ที่ระยะทางเท่ากันต้องใช้น้ำมัน 1 ลิตร หรือกว่า 28 บาท การใช้รถจักรยานไฟฟ้า และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแอล เอ อี-ไรด์ เชื่อว่า จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการให้กับกลุ่มลูกค้าที่ได้กล่าวมา หรือกลุ่มผู้คนที่ให้ความสนใจในเรื่องการประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายศูนย์บริการแอล เอ อี-ไรด์ ให้ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จากปัจจุบัน 40-50 จังหวัด เพื่อสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้าที่ซื้อรถจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า แตกต่างจากสินค้านำเข้าจากจีนเมื่อเกิดปัญหา ไม่มีใครรับผิดชอบ และไม่มีศูนย์บริการ ทำให้ลูกค้ากลัวและไม่กล้าซื้อมาใช้งาน
พร้อมกันนี้ ในช่วงกลางปีนี้ภายหลังจากที่บริษัทได้ทดลองทำตลาด ผลตอบรับออกมาเป็นที่น่าพอใจ บริษัทก็เตรียมส่งสินค้าออกไปยังประเทศใหม่ๆ อาทิ ประเทศอิตาลี เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ จากการศึกษาตลาดความต้องการในแต่ละประเทศที่ได้กล่าวมานิยมใช้สินค้ารูปแบบนี้จำนวนมาก
โดยปีแรกวางเป้าหมายไว้ประมาณ 20,000 คัน หรือมีมูลค่า 200 ล้านบาท และผลักดันให้บริษัทมีรายได้รวมสิ้นปีเติบโต 20% จากปีก่อนจำนวน 700 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาด 15-20% หรือ 200,000 คัน จากตลาดรวมจักรยานทั้งหมด 1.2 ล้านคัน
“ในปีนี้บริษัทได้ใช้งบประมาณสำหรับลงทุนวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ไว้กว่า 20 ล้านบาท จากงบปกติที่ใช้ไป 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตรงความต้องการผู้บริโภค แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องการให้รัฐบาลรณรงค์ให้หันมาใช้จักรยานมากขึ้น เพราะไม่เพียงช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังรองรับค่าใช้จ่ายในระยะยาวให้กับกลุ่มลุกค้า โดยเฉพาะในช่วงราคาน้ำมันแพง ขอเพียงแต่รัฐต้องสร้างความสะดวกในการขับขี่ อาทิ เลนสำหรับรถจักรยาน หรือมีกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับผู้ขับขี่”