พานาโซนิคจับมือดีลเลอร์ ผุดร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “พานาสแควร์” ตั้งเป้า 10 ร้านในปีนี้ เสริมทัพด้วยกล้องดิจิตอล ต่อจากกลุ่มภาพและเสียง ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม หลังปลื้มยอดขายรวมปี 49 ทะลุเป้าที่วางไว้ จาก 10% เป็น 16% หรือกว่า 19,300 ล้านบาท สวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา มั่นใจปีนี้ยอดขายพุ่งขึ้นอีก 10%
นายไดโซ อิโตะ ประธานกลุ่มบริษัท พานาโซนิค ประเทศไทย เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัว แต่ทางพานาโซนิค ยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ล่าสุด กับการเพิ่มช่องทางขาย โดยการจับมือกับดีลเลอร์ เปิดตัวร้านค้าจำหน่ายสินค้าของบริษัท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “พานาสแควร์” ซึ่งตั้งเป้าไว้ 10 ร้านค้าทั่วประเทศในปีนี้ ที่จะเปิดให้บริการ
ทั้งนี้ ร้านค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ พานาสแควร์ นั้น ถึงแม้จะเป็นการร่วมกันลงทุนกับทางดีลเลอร์เช่นเดียวกับ พานาชอปก็ตาม แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ พานาสแควร์นั้น ดีลเลอร์จะสามารถจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์อื่นๆ ได้ด้วย แต่ต้องแบ่งพื้นที่วางสินค้าของพานาโซนิคที่จำหน่ายภายในร้านไม่ต่ำกว่า 50% ส่วนพานาชอปนั้น ดีลเลอร์จะจำหน่ายสินค้าพานาโซนิค 100%
ส่วนการลงทุนครั้งนี้ ทางบริษัทไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าใช้งบประมาณเท่าไร แต่การลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็นของทางบริษัทในส่วนของการซัปพอร์ตทางด้านสินค้า และการดูแลเกี่ยวกับการตกแต่งและการจัดดิสเพลย์ต่างๆ ให้กับสินค้าของบริษัทภายในร้านค้าดังกล่าว ซึ่งแต่ร้านค้าก็จะมีชื่อร้านที่แตกต่างๆ กันไป ขณะเดียวกัน ทางดีลเลอร์จะดูแลเกี่ยวกับยอดขาย และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าและแบรนด์พานาโซนิคนั้นเอง
ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับทาง บริษัท ดิวัน อิเล็คทริค จำกัด ซึ่งเป็นดีลเลอร์ที่สำคัญรายหนึ่งของบริษัท เปิดตัวร้าน The One ขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ พานาสแควร์ ณ บริเวณ ชั้น 4 เซ็นทรัลเวิลด์ ในวันที่ 26 เม.ย นี้ ด้วยงบประมาณกว่า 5 ล้านบาท คาดว่า สิ้นปีจะมียอดขายจากสินค้าพานาโซนิค อย่างน้อย 60 ล้านบาท
โดยร้านดิวัน จะเป็นร้านที่เปิดต่อจากร้านค้าภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกันที่เพิ่งเปิดตัวไปเป็นแห่งแรกที่ จังหวัดเชียงใหม่ จากเป้าหมายในปีนี้ที่คาดว่าจะเปิดให้ได้อย่างน้อย 10 สาขาทั่วประเทศ โดยสาขาต่อไปที่จะเปิดนั้น คือ นครราชสีมา, สุราษฎร์ธานี และอุดรธานี เป็นต้น โดยในส่วนของพานาชอปนั้น ทางบริษัทยังไม่แผนที่จะเพิ่มแต่อย่างไร
นายไดโซ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนทำให้หลายหน่วยงานคาดการณ์กันว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายน้อยลงนั้น ปรากฏว่า เมื่อสิ้นปีงบประมาณปี 2549 เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ของพานาโซนิค กลับมีรายได้รวมเติบโตขึ้นกว่า 16% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงกว่าเป้าที่วางไว้ เพียง 10% เท่านั้น แบ่งได้จาก บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด 12,300 ล้านบาท และ บริษัท พานาโซนิค เอ.พี.เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อีก 7,000 ล้านบาท
โดยสินค้าที่สร้างยอดขายให้ในปีที่ผ่านมานั้น ได้แก่ กลุ่มภาพและเสียง หรือ เอวี โดยเฉพาะ โทรทัศน์ ในกลุ่มพลาสม่า ทีวี และ ซีอาร์ที ทีวี นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มกล้องดิจิตอล, ตู้เย็น, อี-ชาวเวอร์ และแบตเตอรี่ ดังนั้น ในปีนี้ ทางบริษัทจะเพิ่มสินค้าสำหรับสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นอีก คือ กลุ่มกล้องดิจิตอล ต่อจากโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครื่องปรับอากาศนั้น ถือเป็นสินค้าที่สร้างยอดขายสูงมากในช่วงหน้าร้อนของปีนี้ จนทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดสต๊อก แต่ได้แก้ไขไปแล้ว โดยได้สั่งให้เพิ่มกำลังผลิตอีก 1.3 เท่าในช่วงนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ได้กว่า 136,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 31% โดยในปีนี้ตั้งเป้าจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 150,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 22% ส่วนผลิตภัณฑ์ตู้เย็นนั้น ปีที่ผ่านมาจำหน่ายได้กว่า 211,000 เครื่อง มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 18% ปีนี้ตั้งเป้าที่ 270,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 22%
นายไดโซ อิโตะ ประธานกลุ่มบริษัท พานาโซนิค ประเทศไทย เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัว แต่ทางพานาโซนิค ยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้ ล่าสุด กับการเพิ่มช่องทางขาย โดยการจับมือกับดีลเลอร์ เปิดตัวร้านค้าจำหน่ายสินค้าของบริษัท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “พานาสแควร์” ซึ่งตั้งเป้าไว้ 10 ร้านค้าทั่วประเทศในปีนี้ ที่จะเปิดให้บริการ
ทั้งนี้ ร้านค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ พานาสแควร์ นั้น ถึงแม้จะเป็นการร่วมกันลงทุนกับทางดีลเลอร์เช่นเดียวกับ พานาชอปก็ตาม แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ พานาสแควร์นั้น ดีลเลอร์จะสามารถจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์อื่นๆ ได้ด้วย แต่ต้องแบ่งพื้นที่วางสินค้าของพานาโซนิคที่จำหน่ายภายในร้านไม่ต่ำกว่า 50% ส่วนพานาชอปนั้น ดีลเลอร์จะจำหน่ายสินค้าพานาโซนิค 100%
ส่วนการลงทุนครั้งนี้ ทางบริษัทไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าใช้งบประมาณเท่าไร แต่การลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็นของทางบริษัทในส่วนของการซัปพอร์ตทางด้านสินค้า และการดูแลเกี่ยวกับการตกแต่งและการจัดดิสเพลย์ต่างๆ ให้กับสินค้าของบริษัทภายในร้านค้าดังกล่าว ซึ่งแต่ร้านค้าก็จะมีชื่อร้านที่แตกต่างๆ กันไป ขณะเดียวกัน ทางดีลเลอร์จะดูแลเกี่ยวกับยอดขาย และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าและแบรนด์พานาโซนิคนั้นเอง
ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับทาง บริษัท ดิวัน อิเล็คทริค จำกัด ซึ่งเป็นดีลเลอร์ที่สำคัญรายหนึ่งของบริษัท เปิดตัวร้าน The One ขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ พานาสแควร์ ณ บริเวณ ชั้น 4 เซ็นทรัลเวิลด์ ในวันที่ 26 เม.ย นี้ ด้วยงบประมาณกว่า 5 ล้านบาท คาดว่า สิ้นปีจะมียอดขายจากสินค้าพานาโซนิค อย่างน้อย 60 ล้านบาท
โดยร้านดิวัน จะเป็นร้านที่เปิดต่อจากร้านค้าภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกันที่เพิ่งเปิดตัวไปเป็นแห่งแรกที่ จังหวัดเชียงใหม่ จากเป้าหมายในปีนี้ที่คาดว่าจะเปิดให้ได้อย่างน้อย 10 สาขาทั่วประเทศ โดยสาขาต่อไปที่จะเปิดนั้น คือ นครราชสีมา, สุราษฎร์ธานี และอุดรธานี เป็นต้น โดยในส่วนของพานาชอปนั้น ทางบริษัทยังไม่แผนที่จะเพิ่มแต่อย่างไร
นายไดโซ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนทำให้หลายหน่วยงานคาดการณ์กันว่า ผู้บริโภคจะใช้จ่ายน้อยลงนั้น ปรากฏว่า เมื่อสิ้นปีงบประมาณปี 2549 เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ของพานาโซนิค กลับมีรายได้รวมเติบโตขึ้นกว่า 16% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงกว่าเป้าที่วางไว้ เพียง 10% เท่านั้น แบ่งได้จาก บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด 12,300 ล้านบาท และ บริษัท พานาโซนิค เอ.พี.เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อีก 7,000 ล้านบาท
โดยสินค้าที่สร้างยอดขายให้ในปีที่ผ่านมานั้น ได้แก่ กลุ่มภาพและเสียง หรือ เอวี โดยเฉพาะ โทรทัศน์ ในกลุ่มพลาสม่า ทีวี และ ซีอาร์ที ทีวี นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มกล้องดิจิตอล, ตู้เย็น, อี-ชาวเวอร์ และแบตเตอรี่ ดังนั้น ในปีนี้ ทางบริษัทจะเพิ่มสินค้าสำหรับสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นอีก คือ กลุ่มกล้องดิจิตอล ต่อจากโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครื่องปรับอากาศนั้น ถือเป็นสินค้าที่สร้างยอดขายสูงมากในช่วงหน้าร้อนของปีนี้ จนทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดสต๊อก แต่ได้แก้ไขไปแล้ว โดยได้สั่งให้เพิ่มกำลังผลิตอีก 1.3 เท่าในช่วงนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ได้กว่า 136,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 31% โดยในปีนี้ตั้งเป้าจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 150,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 22% ส่วนผลิตภัณฑ์ตู้เย็นนั้น ปีที่ผ่านมาจำหน่ายได้กว่า 211,000 เครื่อง มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 18% ปีนี้ตั้งเป้าที่ 270,000 เครื่อง หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 22%