xs
xsm
sm
md
lg

ไทยอมบ๊วยประเทศที่น่าลงทุนในสายตาชาวออสซี่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โพล สกว.ระบุ ประเทศไทยติดอันดับรั้งท้ายประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนออสเตรเลีย เพราะภาพลักษณ์ของประเทศไทยติดลบในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่จีนครองแชมป์ โดยมี เวียดนาม และอินเดีย ตามมา พร้อมชี้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ ยอมรับจะรอจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง จึงจะตัดสินใจมาลงทุนในไทย

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว.เปิดเผยผลงานวิจัยความคิดเห็นของนักลงทุนออสเตรเลีย เกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทย ของนางสุนีย์ สถาพร ที่ปรึกษาของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ประจำรัฐวิกทอเรีย และออสเตรเลียใต้ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งสำรวจความเห็นนักลงทุนออสเตรเลียจำนวน 125 ราย ทั้งในประเทศไทย และออสเตรเลีย จำนวน 10 กลุ่มธุรกิจ ระหว่างเดือน พ.ย.2549 - เม.ย.2550 โดยเปรียบเทียบกับประเทศจีน เวียดนาม และอินเดีย

นางสุนีย์ กล่าวว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับไว้ท้ายสุดสำหรับประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนออสเตรเลีย โดยเป็นรองประเทศจีน เวียดนาม อินเดีย ตามลำดับ เนื่องจากภาพลักษณ์ของประเทศไทยติดลบในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยนักลงทุนออสเตรเลีย เห็นว่า เสถียรภาพทางการเมืองในขณะนี้ไม่มั่นคง โดยเฉพาะนักลงทุนที่อยู่ในประเทศออสเตรเลีย ที่เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 เป็นการขัดต่อหลักประชาธิปไตย ขณะที่นักลงทุนออสเตรเลียในไทยส่วนใหญ่ไม่วิตกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะไม่เสียเลือดเนื้อ แต่ก็ยอมรับว่า เหตุการณ์วางระเบิดป่วนกรุงเทพฯ และความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลต่อความรู้สึกของนักลงทุนมากกว่า ทำให้รู้สึกว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย และรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้

ในด้านของเศรษฐกิจ นักลงทุนเห็นว่า มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ได้สั่นคลอนความมั่นใจของนักลงทุน โดยเฉพาะวิตกกังวลกับการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่นักลงทุนต้องการให้รัฐบาลสร้างความชัดเจน เพราะชาวต่างชาติรู้สึกว่าถูกบีบให้ขายหุ้นทิ้ง ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรที่จะเปิดเสรีธุรกิจในบัญชี 3 และธุรกิจการเกษตร ศึกษาการเงิน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง รถไฟ และสนามบิน เป็นต้น

นอกจากนี้ นักลงทุนออสเตรเลีย ยังมีความรู้สึกว่ากระแสความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงขึ้น ภายใต้รัฐบาลรักษาการ นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้นักลงทุนคิดว่าการลงทุนด้านสาธารณูปโภคจะชะลอลงหรือหยุดชะงัก ซึ่งจากปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเลื่อนหรือยกเลิกการตัดสินใจมาลงทุนในไทยในช่วงนี้ โดยจะรอจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง

“อุตสาหกรรมที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนออสเตรเลียมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถญี่ปุ่น แต่เนื่องจากภาพลักษณ์ของประเทศไทยติดลบ ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แต่มีดีด้านต้นทุนสังคม คือ อัธยาศัยไมตรีของคนไทย ทำให้ประเทศอยู่ในอันดับสุดท้ายประเทศที่น่าลงทุน โดยจีนอยู่ในอันดับที่ 1 รองลงมาคือ เวียดนาม และอินเดีย” นางสุนีย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนักลงทุนออสเตรเลีย เห็นว่า ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภค และการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เหนือประเทศเวียดนาม และจีน แต่หากในอนาคต การพัฒนาสาธารณูปโภคและระบบราชการในประเทศคู่แข่งดีขึ้น เวียดนามก็จะก้าวไปไกลกว่าประเทศไทย เพราะคุณภาพของแรงงานเวียดนามเหนือกว่าไทย และมีศักยภาพมากกว่าไทยในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ต้องจับตามองการปรับปรุงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศจีน ซึ่งหากจีนปรับปรุงดีขึ้น บริษัทจำนวนมากก็พร้อมที่จะไปลงทุนในจีน โดยเฉพาะบริษัทรถที่กำลังสนใจตลาดจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไทย เพราะจีนมีต้นทุนด้านแรงงานที่ต่ำกว่าไทย

นางสุนีย์ ยังเห็นว่า ประเทศไทยจะต้องมีการแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายหน่วยงานราชการ ระบบราชการที่ล่าช้า ระบบกฎหมายที่มี 2 มาตรฐาน ปรับปรุงการทำงานของบีโอไอ และพัฒนาระบบการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์

ด้าน นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นมีหลายเรื่องที่สอดคล้องกับความเห็นของนักลงทุนต่างชาติ ที่มองว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มที่กลับเข้าสู่กระแสชาตินิยมมากขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าประเทศไทยไม่ต้องการการลงทุนของต่างชาติ จึงลดสัดส่วนการลงทุนในไทยลง ขณะที่มองประเทศเวียดนามว่าแม้ระบบสาธารณูปโภคจะยังไม่มีความพร้อม แต่กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนา ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่อยู่ในช่วงขาขึ้น มีฐานเศรษฐกิจที่มีความพร้อม เหมาะกับการลงทุน แต่ประเทศไทยกลับอยู่ในช่วงขาลง และเป็นเพียงประเทศที่เคยน่าลงทุนเท่านั้น ดังนั้น ประเทศไทยต้องพัฒนาเรื่องความโปร่งใส และการเพิ่มประสิทธิภาพตามข้อเสนอของนักลงทุนต่างชาติ เพราะการดึงดูดการลงทุนจะต้องมีกระบวนการที่ครบวงจร มีกลไกสนับสนุน แก้ปัญหาให้นักลงทุนต่างชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น