ประธานกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไล่บี้รัฐบาลรับผิดชอบการลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA เพราะเป็นการดำเนินการที่กระทบต่อประชาชนและประเทศ รวมทั้งมีกระบวนการและขั้นตอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเรียกร้องประชาชนและสื่อมวลชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะพึ่งสถาบันการเมืองไม่ได้แล้ว
ศ.เสน่ห์ จามาริก ประธานกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี วันที่ 3 เมษายนนี้ เป็นการดำเนินการที่กระทบต่อประชาชนและประเทศ เพราะกระบวนการและขั้นตอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูญเสีย ตลอดจนมีผลกระทบต่อทรัพยากรของประเทศ โดยเฉพาะในการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจพอเพียงที่แท้จริงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต ดังนั้น รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จะต้องรับผิดชอบต่อการลงนามครั้งนี้
ศ.เสน่ห์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ได้มีการท้วงติงไปถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ โดยเฉพาะการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งพบว่ามีการจัดทำแบบแอบแฝงรวบรัดของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังเร่งรีบนำเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นวาระเพื่อทราบ และรัฐบาลไม่ได้พิจารณาข้อเรียกร้องของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่ให้ทบทวน 2 ประเด็นหลัก คือ ขยะมลพิษ และสิทธิบัตรจุลชีพ
“รัฐบาลไม่เคยฟังความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนจะต้องออกมามีบทบาทให้มากขึ้น ขณะนี้หวังสถาบันการเมืองไม่ได้แล้ว เพราะสถาบันการเมืองล้มเหลว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเหมือนกรณีมาบตาพุด ดังนั้น ควรทบทวนคำว่า “ผลประโยชน์” เพราะหากการทำเอฟทีเอ และได้ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ก็ไม่ควรกระทบสิทธิประโยชน์ด้านอื่น รวมทั้งกระทบต่อฐานทรัพยากรของประเทศ” ศ.เสน่ห์ กล่าว
ศ.เสน่ห์ จามาริก ประธานกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี วันที่ 3 เมษายนนี้ เป็นการดำเนินการที่กระทบต่อประชาชนและประเทศ เพราะกระบวนการและขั้นตอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูญเสีย ตลอดจนมีผลกระทบต่อทรัพยากรของประเทศ โดยเฉพาะในการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจพอเพียงที่แท้จริงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต ดังนั้น รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จะต้องรับผิดชอบต่อการลงนามครั้งนี้
ศ.เสน่ห์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ได้มีการท้วงติงไปถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ โดยเฉพาะการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งพบว่ามีการจัดทำแบบแอบแฝงรวบรัดของกระทรวงการต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังเร่งรีบนำเสนอร่างดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นวาระเพื่อทราบ และรัฐบาลไม่ได้พิจารณาข้อเรียกร้องของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่ให้ทบทวน 2 ประเด็นหลัก คือ ขยะมลพิษ และสิทธิบัตรจุลชีพ
“รัฐบาลไม่เคยฟังความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนจะต้องออกมามีบทบาทให้มากขึ้น ขณะนี้หวังสถาบันการเมืองไม่ได้แล้ว เพราะสถาบันการเมืองล้มเหลว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเหมือนกรณีมาบตาพุด ดังนั้น ควรทบทวนคำว่า “ผลประโยชน์” เพราะหากการทำเอฟทีเอ และได้ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ก็ไม่ควรกระทบสิทธิประโยชน์ด้านอื่น รวมทั้งกระทบต่อฐานทรัพยากรของประเทศ” ศ.เสน่ห์ กล่าว