“ประวิทย์ อนันตวราศิลป์” จากผู้บริหารเพาเวอร์บาย ซึ่งเป็นธุรกิจรีเทลค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล ก่อนที่จะย้ายไปบริหารงานที่ธุกริจสีทีโอเอ ล่าสุดคือ การเข้ามาบริหารเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “แอสทีน่า” แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าน้องใหม่ สายเลือดไทย ทำไมผู้ชายคนนี้ ถึงมีใจยอมมานั่งกุมบังเหียน องค์กรที่มีขนาดเล็ก แถมชั่วโมงบินในสนามแข่งขันของแบรนด์นี้ ยังมีน้อยอีกด้วยนั้น
นายประวิทย์ กล่าวว่า เริ่มจากผมมีความคุ้นเคยและรู้จักกับทีมผู้บริหาร ของ แอสทีน่า เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่จะมารับตำแหน่งครั้งนี้ ทางผู้บริหารของแอสทีน่า ก็ได้พูดคุยทาบทามเจรจาให้เข้ามาช่วยดู แอสทีน่า เรื่อยมา จนเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา ผมจึงได้ตกลง เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ให้กับ บริษัท แอสทีน่า (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ
สาเหตุที่ประวิทย์ ยอมที่จะมาทำหน้าที่กุมบังเหียนแอสทีน่าครั้งนี้ เขากล่าวว่า แอสทีน่า ถึงแม้ว่าจะเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าน้องใหม่ก็จริง แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท จนถึงปัจจุบัน ที่ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี จะพบว่ามีตัวเลขการเติบโตที่น่าสนใจ และมองว่าอนาคตยังสามารถไปได้อีกไกล ทำให้ตนมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การที่ “แอสทีน่า” ได้ประวิทย์ เข้ามาช่วยคุมการทำงานแล้ว วิธีการทำงานของแอสทีน่าก็ได้เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน โดยประวิทย์ได้นำเอานโยบาย “โกลบอล ซอสซิ่ง” เข้ามาใช้ โดยได้ให้เหตุผลว่า
“ปัจจุบัน เครื่องใช้ไฟฟ้านั้น หลายๆค่ายต่างก็มีฐานการผลิตเป็นของตัวเอง จึงมองว่าเราน่าจะใช้ฐานการผลิตเหล่านี้ ในการว่าจ้างผลิตให้เรา หรือนำเอาสินค้าของค่ายๆเหล่านี้เข้ามา ทั้งในรูปแบบจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของเราเอา ก็จะช่วยให้บริษัทฯมีกำไรและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเรายังไม่ต้องมาแบกรับภาระทางด้านการลงทุน และความเสี่ยงต่างๆอีกด้วย ซึ่งนโยบายโกลบอล ซอสซิ่งนั้น เป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี”
ทำให้ขณะนี้ แอสทีน่า ไม่มีฐานการผลิตแต่อย่างใด สินค้าที่มีอยู่จึงมาจากการว่าจ้างผลิตทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่ประวิทย์มองว่าจะมาช่วยเสริมให้แอสทีน่าเติบโตได้อย่างรวดเร็ว หรือมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทในอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น คือ การสร้างแบรนด์ เน้นขยายตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ 300 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็นให้ครบ 400 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น ต่างจังหวัด 70-80% และในกรุงเทพฯ 20% โดยส่วนใหญ่จะเปิดในช่องทางโมเดิร์นเทรด และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นเป็นหลัก
อีกทั้งในปีนี้บริษัทฯได้วางงบประมาณทางการตลาดไว้ 10 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 30% ของการทำตลาดตลอดทั้งปี โดยจะเน้นทางด้านการจัดกิจกรรม และการทดลองใช้สินค้าจริงตามจุดขาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์แบรนด์แอสทีน่าที่ก้าวสู่ปีที่ 10 ในปีนี้อีกด้วย
อีกทั้งบริษัทฯยังมีเป้าหมายเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย อย่าง ลาว เขมรและพม่า ที่คาดว่าจะเริ่มทดลองทำตลาดไม่เกิน 1-2 ปีนับจากนี้ ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับการสร้างแบรนด์เป็นสำคัญ การทำตลาดยังต่างประเทศจึงจะประสบความสำเร็จ
ส่วนในเรื่องผลประกอบการในปีนี้ ประวิทย์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 38% คิดเป็นมูลค่า 650 ล้านบาท แบ่งเป็น เครื่องซักผ้า 45% มูลค่า 292.5 ล้านบาท, ตู้เย็น 20% มูลค่า 130 ล้านบาท, เครื่องทำน้ำอุ่น 20% มูลค่า 130 ล้านบาท, เครื่องดูดฝุ่นและสุขภาพ 5% มูลค่า 32.5 ล้านบาท และอุปกรณ์ครัว 10% คิดเป็นมูลค่า 65 ล้านบาท
จากนี้ไปจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูถึงบทบาทการบริหารงานของ ประวิทย์ ที่ต้องเข้ามาทำตลาดในแง่ของ ความเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ แอสทีน่า จากเดิมที่คลุกคลีและแสองฝีมือมาแล้วในแง่ของการบริหาร ธุรกิจที่เป็นลักษณะรีเทลแบบเพาเวอร์บายมาก่อน