กลุ่มธุรกิจเครื่องเขียนเครื่องใช้สำนักงานจัดตั้งสหพันธ์ เพื่อสร้างกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจทางการค้าถาวร ประกาศวางยุทธ์ศาสตร์พร้อมแผนการรุกทำตลาดรูปแบบอย่างจริงจัง สู้สินค้าจากจีนที่งัดเรื่องราคามาถล่ม
นายเพิ่มพงษ์ วิสุทธ์อัมพร ประธานสหพันธ์ เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน เปิดเผยถึง การร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฯจาก 3 สมาคมเครื่องเขียนคือ 1.สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย 2.สมาคมนักอุตสาหกรรมเครื่องเขียนไทยเพื่อการส่งออก 3. สมาคมผู้ค้าหนังสือและเครื่องเขียน ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มหลักในการดำเนินธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักพิมพ์รวมทั้งหมดกว่า 800 ราย มาผนึกกำลังสร้างการทำตลาดเพื่อพัฒนาธุรกิจการค้า และเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด โดยจุดประสงค์หลักในการจัดตั้งครั้งนี้ 1. เพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานของกลุ่มผู้ประกอบการเพิ่มทักษะการบริกหารการจัดการ ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง 2.การจัดตั้งศูนย์กลางตลาดรวม พัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารการจัดการตลอดซัปพลายเชน ต้นน้ำ ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ค้าส่ง ค้าปลีก(รวมทั้งการทำการขนส่งร่วมกันเพื่อเป็นการจัดลดต้นทุนในการขนร่วมกัน
เนื่องจากปัจจัยต่างๆทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบเหล็ก พลาสติก มีราคาสูงตามตลาด ซึ่งเชื่อว่าจากแผนร่วมการขนส่งของสหพันธ์จะสามารถ ช่วยลดต้นทุนลงได้อีกกว่า 30 % 3. จัดสร้างโครงการจัดงานแสดงศักยภาพและพัฒนาสินค้าเข้าถึงตลาดให้มากที่สุด
การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานต้องเผชิญอยู่ภายใต้แรงกดดัน จากการแข่งขันจากผู้ประกอบการต่างชาติ ลอกเลียนแบบสินค้าโดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาทำตลาดในไทย ปัจจัยลบที่เป็นปัญหามากที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ที่เป็นคู่แข่งในการทำตลาดในกลุ่มสินค้าเป็นปากกา มีราคาที่ถูกกว่ามากถึง 30%
ดังนั้นการตั้งสมาคมฯ เพื่อรวบรวมผนึกกำลังจากกลุ่มผู้ประกอบการร่วมมือในการทำธุรกิจร่วมกันสู้กับสินค้าจากต่างชาติได้ ซึ่งเป้าหมายแรกจะโฟกัสการทำตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมกับการพัฒนาควบคู่กันไป และในปี 2551 เตรียมเข้าขยายสินค้าไปยังตลาดยุโรป อาทิ ประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และในแถบแอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น
สำหรับมูลค่าตลาดเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานในปัจจุบันมีอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 20% ซึ่งถ้านับเป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 200 ล้านบาท จะมีอยู่ประมาณ 25 ราย (5%) รายได้ระดับกลาง50 – 200 ล้านบาท มีอยู่ 71 ราย (14%) และผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่ำกว่า 50 ล้านบาทมีอยู่กว่า 406 ราย (80%) รวมทั้งหมด 540 ราย แบ่งนำเข้า 67,331 ล้านบาท 4,506 ราย ผู้ค้าส่ง ยี่ปั๊ว 20 ราย ยอด 500 – 600 ล้านบาทต่อปี ผู้ค้าปลีก 12,000 ราย ซึ่งถ้านับเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีอยู่ 20 รายใหญ่ๆ โดยส่วนใหญ่รูปแบบในการนำเสนอสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคจะขายผ่านช่องทางเทรดดิชันแนลเทรด 80% และ โมเดิร์นเทรดอีก 20%
นายชูศักดิ์ เดชเกรียงไกรกุล ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ทางสหพันธ์เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน จะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าต่างๆโดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาการประกอบการธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้ระดับของความสามารถสินค้าในประเทศมีความสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ และการรวมตัวของสหพันธ์ขึ้นเชื่อว่าจะสามารถสกัดการเข้าทำตลาดของคู่แข่งหลักอย่างจีนได้อย่างแน่นอน
นายเพิ่มพงษ์ วิสุทธ์อัมพร ประธานสหพันธ์ เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน เปิดเผยถึง การร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฯจาก 3 สมาคมเครื่องเขียนคือ 1.สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย 2.สมาคมนักอุตสาหกรรมเครื่องเขียนไทยเพื่อการส่งออก 3. สมาคมผู้ค้าหนังสือและเครื่องเขียน ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มหลักในการดำเนินธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักพิมพ์รวมทั้งหมดกว่า 800 ราย มาผนึกกำลังสร้างการทำตลาดเพื่อพัฒนาธุรกิจการค้า และเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด โดยจุดประสงค์หลักในการจัดตั้งครั้งนี้ 1. เพื่อพัฒนาความรู้พื้นฐานของกลุ่มผู้ประกอบการเพิ่มทักษะการบริกหารการจัดการ ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง 2.การจัดตั้งศูนย์กลางตลาดรวม พัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารการจัดการตลอดซัปพลายเชน ต้นน้ำ ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ค้าส่ง ค้าปลีก(รวมทั้งการทำการขนส่งร่วมกันเพื่อเป็นการจัดลดต้นทุนในการขนร่วมกัน
เนื่องจากปัจจัยต่างๆทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบเหล็ก พลาสติก มีราคาสูงตามตลาด ซึ่งเชื่อว่าจากแผนร่วมการขนส่งของสหพันธ์จะสามารถ ช่วยลดต้นทุนลงได้อีกกว่า 30 % 3. จัดสร้างโครงการจัดงานแสดงศักยภาพและพัฒนาสินค้าเข้าถึงตลาดให้มากที่สุด
การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานต้องเผชิญอยู่ภายใต้แรงกดดัน จากการแข่งขันจากผู้ประกอบการต่างชาติ ลอกเลียนแบบสินค้าโดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาทำตลาดในไทย ปัจจัยลบที่เป็นปัญหามากที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศจีน ที่เป็นคู่แข่งในการทำตลาดในกลุ่มสินค้าเป็นปากกา มีราคาที่ถูกกว่ามากถึง 30%
ดังนั้นการตั้งสมาคมฯ เพื่อรวบรวมผนึกกำลังจากกลุ่มผู้ประกอบการร่วมมือในการทำธุรกิจร่วมกันสู้กับสินค้าจากต่างชาติได้ ซึ่งเป้าหมายแรกจะโฟกัสการทำตลาดในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง พร้อมกับการพัฒนาควบคู่กันไป และในปี 2551 เตรียมเข้าขยายสินค้าไปยังตลาดยุโรป อาทิ ประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และในแถบแอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น
สำหรับมูลค่าตลาดเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานในปัจจุบันมีอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 20% ซึ่งถ้านับเป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 200 ล้านบาท จะมีอยู่ประมาณ 25 ราย (5%) รายได้ระดับกลาง50 – 200 ล้านบาท มีอยู่ 71 ราย (14%) และผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่ำกว่า 50 ล้านบาทมีอยู่กว่า 406 ราย (80%) รวมทั้งหมด 540 ราย แบ่งนำเข้า 67,331 ล้านบาท 4,506 ราย ผู้ค้าส่ง ยี่ปั๊ว 20 ราย ยอด 500 – 600 ล้านบาทต่อปี ผู้ค้าปลีก 12,000 ราย ซึ่งถ้านับเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีอยู่ 20 รายใหญ่ๆ โดยส่วนใหญ่รูปแบบในการนำเสนอสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคจะขายผ่านช่องทางเทรดดิชันแนลเทรด 80% และ โมเดิร์นเทรดอีก 20%
นายชูศักดิ์ เดชเกรียงไกรกุล ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ทางสหพันธ์เครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน จะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมทางการค้าต่างๆโดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาการประกอบการธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้ระดับของความสามารถสินค้าในประเทศมีความสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ และการรวมตัวของสหพันธ์ขึ้นเชื่อว่าจะสามารถสกัดการเข้าทำตลาดของคู่แข่งหลักอย่างจีนได้อย่างแน่นอน