ดีเอสจี ประกาศลุยตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กเต็มสูบ ต่อยอดขายสร้างกิจกรรมอัดความถี่ทุกไตรมาส เผยเหตุการเกิดหดเหลือเพียง 1.2% จัดงบ 20% จากยอดขายหวังกระตุ้นตลาด โวเก็บแชร์เข้ากระเป๋าเพิ่มได้อีกกว่า 20% สิ้นปี พร้อมยึดอันดับ 2 ตลาดผ้าอ้อม
นายวัลลภ สิริขจรเดชสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก เบบี้เลิฟ (Bady Love) เปิดเผยว่า ตลาดผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปในปีนี้มีอัตราเติบโต 16% ทั้งนี้เกิดจากพฤติกรรมการใช้ผ้าอ้อมที่เปลี่ยนไปกล่าวคือปริมาณการใช้ของเด็กต่อคน425 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่จำนวนเด็กที่ใช้ผ้าอ้อมในแบรนด์เบบี้เลิฟโดยเฉลี่ยแล้วมี 3 ชิ้นต่อคนต่อวัน โดยเฉพาะตลาดในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดผ้าอ้อมโดยรวมมีอัตราการเติบโตสูง ซึ่งคาดว่าจากการทำตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และอัตราการใช้จ่ายของกลุ่มครอบครัวสมัยใหม่นิยมใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่า ตลาดผ้าอ้อมนับจากนี้ไปอีก 5 ปี จะเป็นช่วงขาขึ้นของการขายอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการทำตลาดของบริษัทฯจากการรุกทำตลาดเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มยอดการใช้ของเด็กต่อชิ้นต่อวันเป็น 6 ชิ้น ภายในระยะเวลาอีก 5 ปี สาเหตุอันเนื่องมาจากการขยายตัวรวมถึงการแข่งขันแต่ละแบรนด์มีเพิ่มมากขึ้น สิ่งนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้กับตลาดได้เป็นอย่างดี
โดยแผนการทำตลาดของบริษัทฯจะรุกทำตลาดด้วยการจัดทำกิจกรรมสร้างความสำคัญระหว่างแบรนด์และเพิ่มการจัดทำกิจกรรมกับกลุ่มลูกค้าทุกๆไตรมาสให้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่การทำตลาดปีที่ผ่านมาใช้งบการตลาดผ่านสื่อทั้งหมดเป็นเม็ดเงินราว 40 ล้านบาท
ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯจึงเตรียมงบประมาณไว้ 20% ของยอดขายเพื่อมาทำตลาด หรือแบ่งมูลค่าการทำตลาดประมาณ 60 ล้านบาท ไว้สำหรับการทำตลาดทั้งปี เพื่อเป็นการกระตุ้นกลุ่มลูกค้าไว้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทฯได้เล็งเห็นถึงช่องทางการทำตลาดเพื่อเป็นการสร้างสื่อระหว่างลูกค้าว่าจะสามารถสร้างยอดรายได้จะเป็นผลดีต่อทางบริษัทฯ
ล่าสุดบริษัทฯ ได้เริ่มจัดทำกิจกรรมภายใต้แคมเปญ “เบบี้เลิฟ คลานสนุก สุขทั้งครอบครัว” ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่บริษัทฯจัดขึ้น เพื่อเป็นการสร้างจุดสนใจระหว่างกลุ่มผู้ปกครองและเด็กให้มีความสนใจและเชื่อว่าดึงดูดให้เด็กได้มีกิจกรรมทำมากขึ้น
จากการวางแผนการทำตลาด ทั้งจากการเพิ่มงบทำตลาดและการสร้างกิจกรรมเพื่อเป็นการสอดรับกับอัตราเด็กแรกเกิดมีจำนวน 1.2% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนการขยายตัวหดตัวลงโดยที่มีจำนวนเด็กแรกเกิด 7-8 แสนคนต่อปี ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งเพื่อเป็นการเพิ่มแชร์ในตลาดให้เป็น 20% จากเดิมที่บริษัทฯมีแชร์ในตลาดรวมอยู่ 14% ซึ่งถ้าแผนการทำตลาดเป็นตามเป้าที่วางไว้จะทำให้บริษัทฯสามารถยึดอันดับสองของแชร์ในตลาดผ้าอ้อมเด็กที่มีมูลค่าอยู่กว่า 4 พันล้านบาทและมีการเติบโตมากถึง 16%
ปัจจุบันตลาดผ้าอ้อมมีอยู่ 3 เซ็กเม้นต์ ซึ่งจะประกอบไปด้วย ตลาดในกลุ่มพรีเมี่ยม ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 55%ซึ่งผู้นำในตลาดจะเป็นมามี่ โพโค และตลาดกลาง 40% มีเบบี้เลิฟและดรายเพอร์ส เบียดเป็นเจ้าตลาดกลุ่มนี้ และตลาดล่าง 10% ซึ่งการทำตลาดบริษัทฯเชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯสามารถเป็นที่ 2 ของตลาดและเป็นที่ 1 ในตลาดกลางได้อย่างแน่นอน