ไลอ้อน ชี้สงครามผงซักฟอกสูตรมาตรฐานแข่งเดือด รับแม่บ้านภูธรกำลังซื้อหดเปลี่ยนใช้สูตรมาตรฐานแทนสูตรเข้มข้น เปาอัดฉีดมากกว่า 200 ล้านบาท ส่งลูกฮึดรีลอนช์เปาไวท์ เล็งแตกไลน์ผงซักฟอกชนิดน้ำยกแผงรบบรีส-แอทแทค สิ้นปีตั้งเป้ายอดขายโต 15% รักษาคอปอร์เรตแชร์ 14.9%
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผงซักฟอกเปา เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ปีนี้แนวโน้มตลาดผงซักฟอกที่มีมูลค่า 11,550 ล้านบาท คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของตลาดผงซักฟอกสูตรมาตรฐานที่มีมูลค่ารวม 5,783 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ผู้ประกอบการแต่ละแบรนด์ แต่ละค่ายจะหันมาทำตลาดมากยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อน้อย เปลี่ยนจากการใช้ผงซักฟอกสูตรเข้มข้นมาเป็นสูตรมาตรฐานแทน เนื่องจากมีปริมาณใกล้เคียงกันและราคาถูกกว่า
สำหรับภาวะตลาดผงซักฟอกสูตรมาตรฐาน ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตถึง 2.3% หรือมีมูลค่าขยับจาก 5,655 ล้านบาท เป็น 5,783 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผงซักฟอกสูตรเข้มข้นตลาดมีอัตราการเติบโตเพียง 0.3% เท่านั้น โดยมีมูลค่าขยับจาก 4,793 ล้านบาท เป็น 4,805 ล้านบาท จากปกติตลาดผงซักฟอกสูตรเข้มข้นจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่า เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้เครื่องซักผ้ากันมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบายมากกว่า
เปารีลอนช์สูตรมาตรฐานสู้ศึก
ด้านแผนการตลาดปีนี้ นายบุญฤทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯได้รีลอนช์ผงซักฟอกสูตรมาตรฐานใหม่ “เปาไวท์” โดยมีจุดเด่นที่ผงซักฟอกละลายได้เร็วขึ้น และภายในปีนี้จะรีลอนช์ผงซักฟอกอีกหลายตัว เพื่อทำให้แบรนด์มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ภายใต้การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
พร้อมกันนี้ บริษัทฯยังมีความสนใจเปิดตัวผงซักฟอกชนิดน้ำภายใต้แบรนด์ “เปา” ลงสู่ตลาดอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เปามีสินค้าครบไลน์เท่ากับคู่แข่งสองค่าย ได้แก่ บรีสและแอทแทค โดยการออกเปาสูตรน้ำกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงความเหมาะสม ทั้งสภาพตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคไทย
สำหรับภาวะผงซักฟอกสูตรน้ำ เป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขนาดตลาดยังเล็ก โดยพบว่าปีที่ผ่านมามีมูลค่า 961 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากปี 2548 ประมาณ 9.4% จากมูลค่า 879 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันผงซักฟอกสูตรน้ำนั้นการใช้ยังจำกัดอยู่เฉพาะตลาดในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองหลักเท่านั้น และกลุ่มเป้ามาหยที่ใช้จะต้องมีรายได้สูงระดับซีบวกและบีบวก เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับผงซักฟอกสูตรเข้มข้นและมาตรฐาน
นายบุญฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งบการตลาดปีนี้บริษัทฯจะใช้มากกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยได้เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์
โดยยอดขายผงซักฟอกเปาปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 15% เท่ากับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อรักษาส่วนแบ่งโดยรวมของบริษัทฯในตลาดผงซักฟอก ซึ่งในปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งเพิ่ม 14.9% จากเมื่อปี 2548 มีส่วนแบ่ง 14.5% โดยคาโอขึ้นมาเป็นอันดับสองแทนที่ไลอ้อนด้วยการมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 11.2% เป็น 15% ส่วนยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งลดลงจากปี 2548 กล่าวคือ จาก 64.3% เป็น 61.9%
สำหรับแนวโน้มตลาดผงซักฟอกมูลค่า 12,000 ล้านบาทในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 5-6% เท่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 7-8% โดยคาดว่าผงซักฟอกสูตรมาตรฐานจะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากผู้ประกอบการทั้ง 3 ค่ายหันมาทำตลาดมากขึ้น อาทิ ยูนิลีเวอร์ รุกผงซักฟอกบรีสกล่องแดงสูตรมาตรฐานและแอทแทค อีซี่ ของค่ายคาโอ
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผงซักฟอกเปา เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ปีนี้แนวโน้มตลาดผงซักฟอกที่มีมูลค่า 11,550 ล้านบาท คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของตลาดผงซักฟอกสูตรมาตรฐานที่มีมูลค่ารวม 5,783 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ผู้ประกอบการแต่ละแบรนด์ แต่ละค่ายจะหันมาทำตลาดมากยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังการซื้อน้อย เปลี่ยนจากการใช้ผงซักฟอกสูตรเข้มข้นมาเป็นสูตรมาตรฐานแทน เนื่องจากมีปริมาณใกล้เคียงกันและราคาถูกกว่า
สำหรับภาวะตลาดผงซักฟอกสูตรมาตรฐาน ในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตถึง 2.3% หรือมีมูลค่าขยับจาก 5,655 ล้านบาท เป็น 5,783 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผงซักฟอกสูตรเข้มข้นตลาดมีอัตราการเติบโตเพียง 0.3% เท่านั้น โดยมีมูลค่าขยับจาก 4,793 ล้านบาท เป็น 4,805 ล้านบาท จากปกติตลาดผงซักฟอกสูตรเข้มข้นจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่า เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้เครื่องซักผ้ากันมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบายมากกว่า
เปารีลอนช์สูตรมาตรฐานสู้ศึก
ด้านแผนการตลาดปีนี้ นายบุญฤทธิ์ กล่าวว่า บริษัทฯได้รีลอนช์ผงซักฟอกสูตรมาตรฐานใหม่ “เปาไวท์” โดยมีจุดเด่นที่ผงซักฟอกละลายได้เร็วขึ้น และภายในปีนี้จะรีลอนช์ผงซักฟอกอีกหลายตัว เพื่อทำให้แบรนด์มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ภายใต้การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
พร้อมกันนี้ บริษัทฯยังมีความสนใจเปิดตัวผงซักฟอกชนิดน้ำภายใต้แบรนด์ “เปา” ลงสู่ตลาดอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เปามีสินค้าครบไลน์เท่ากับคู่แข่งสองค่าย ได้แก่ บรีสและแอทแทค โดยการออกเปาสูตรน้ำกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงความเหมาะสม ทั้งสภาพตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคไทย
สำหรับภาวะผงซักฟอกสูตรน้ำ เป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขนาดตลาดยังเล็ก โดยพบว่าปีที่ผ่านมามีมูลค่า 961 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากปี 2548 ประมาณ 9.4% จากมูลค่า 879 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันผงซักฟอกสูตรน้ำนั้นการใช้ยังจำกัดอยู่เฉพาะตลาดในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองหลักเท่านั้น และกลุ่มเป้ามาหยที่ใช้จะต้องมีรายได้สูงระดับซีบวกและบีบวก เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับผงซักฟอกสูตรเข้มข้นและมาตรฐาน
นายบุญฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งบการตลาดปีนี้บริษัทฯจะใช้มากกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยได้เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์
โดยยอดขายผงซักฟอกเปาปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 15% เท่ากับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อรักษาส่วนแบ่งโดยรวมของบริษัทฯในตลาดผงซักฟอก ซึ่งในปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งเพิ่ม 14.9% จากเมื่อปี 2548 มีส่วนแบ่ง 14.5% โดยคาโอขึ้นมาเป็นอันดับสองแทนที่ไลอ้อนด้วยการมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 11.2% เป็น 15% ส่วนยูนิลีเวอร์ ผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งลดลงจากปี 2548 กล่าวคือ จาก 64.3% เป็น 61.9%
สำหรับแนวโน้มตลาดผงซักฟอกมูลค่า 12,000 ล้านบาทในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 5-6% เท่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 7-8% โดยคาดว่าผงซักฟอกสูตรมาตรฐานจะเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากผู้ประกอบการทั้ง 3 ค่ายหันมาทำตลาดมากขึ้น อาทิ ยูนิลีเวอร์ รุกผงซักฟอกบรีสกล่องแดงสูตรมาตรฐานและแอทแทค อีซี่ ของค่ายคาโอ