ยูนิ-ชาร์ม เร่งไต่อันดับโลกผู้ผลิตสินค้าซึมซับ ตั้งป้อมโกยแชร์โลกจาก 6% เป็น 10% อัดฉีด 300 ล้านบาท วางไทยสร้างสถิติโลกโกยแชร์ตลาดผ้าอ้อมเด็กจาก 66% เป็น 70% ประกาศลุยตลาดต่างจังหวัดหนัก พร้อมส่งนวัตกรรมใหม่ กระตุ้นความถี่การใช้สินค้า สิ้นปีรายได้โตพรวด 30% จากปีที่ผ่านมา 7,500 ล้านบาท
นายดำรงค์ ปิยะนิจดำรงค์ กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปมามี่ โพโค ผ้าอนามัยโซฟี และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ไลฟ์รี่ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งในฐานะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ซึมซับในตลาดโลกจาก 6% เมื่อปีที่ผ่านมา เป็น 10% ในสิ้นปีนี้ โดยปัจจุบันในเอเชียผ้าอ้อมสำเร็จรูปมามี่ โพโค เป็นอันดับสองรองจากแพมเพิร์สของค่ายพีแอนด์จี แต่เมื่อเทียบกับประเทศที่ทำตลาดแล้ว อาทิ จีน ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือกระทั่งประเทศไทย มามี่ โพโค เป็นผู้นำตลาดทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ยูนิ-ชาร์ม มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น ปีนี้บริษัทฯวางแนวทางรุกตลาดประเทศไทย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กมามี่ โพโค ผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ไลฟ์รี่ และผ้าอนามัยโซฟี ด้วยงบตลาด 200-300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น อาทิ ตลาดผ้าอนามัย ผู้หญิงต้องการสินค้าที่นุ่ม สบาย ส่วนตลาดผ้าอ้อมเด็กต้องการสินค้าที่บางลง เป็นต้น แต่ไม่มีแผนแตกโปรดักส์ไลน์ใหม่
สำหรับกลุ่มผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กปีนี้ บริษัทฯวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปในไทย จาก 66% เป็น 70% เพื่อสร้างสถิติตลาดโลกตอกย้ำผู้ดำเนินธุรกิจด้านการซึมซับ โดยได้วางแผนขยายตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 5% ในตลาดนี้ ซึ่งบริษัทฯเตรียมกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีพัฒนาการใช้สินค้า เช่น จากเคยใช้ขนาดเล็กเพิ่มเป็นขนาดใหญ่ หรือเปลี่ยนจากเทปกาวมาเป็นรูปแบบกางเกง ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี สัดส่วนตลาดต่างจังหวัดเพิ่มจาก 50% เป็น 65% และกรุงเทพฯ เหลือจาก 50% เป็น 35%
ผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 30% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 7,500 ล้านบาท เติบโต 30% โดยปัจจุบันมามี่ โพโค เป็นผู้นำตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก มีส่วนแบ่ง 66% เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 62% จากมูลค่าตลาด 4,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่าตลาดเติบโต 15-20% อีกทั้งยังเป็นผู้นำตลาดผ้าอนามัย โดยโซฟีครองส่วนแบ่ง 45% ลอริเอะ 30% โมเดส 16% จากมูลค่า 3,100 ล้านบาท ตลาดโต 2% ส่วนผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่มูลค่า 500 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20% มีส่วนแบ่ง 21% เป็นอันดับสองรองจากเซอร์เทนตี้ ขณะที่ตลาดแผ่นอนามัย 500 ล้านบาท โซฟีมีส่วนแบ่ง 35% เป็นอันดับสองรองจากแคร์ฟีผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 55%
นายดำรงค์ ปิยะนิจดำรงค์ กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปมามี่ โพโค ผ้าอนามัยโซฟี และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ไลฟ์รี่ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งในฐานะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ซึมซับในตลาดโลกจาก 6% เมื่อปีที่ผ่านมา เป็น 10% ในสิ้นปีนี้ โดยปัจจุบันในเอเชียผ้าอ้อมสำเร็จรูปมามี่ โพโค เป็นอันดับสองรองจากแพมเพิร์สของค่ายพีแอนด์จี แต่เมื่อเทียบกับประเทศที่ทำตลาดแล้ว อาทิ จีน ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือกระทั่งประเทศไทย มามี่ โพโค เป็นผู้นำตลาดทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ยูนิ-ชาร์ม มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น ปีนี้บริษัทฯวางแนวทางรุกตลาดประเทศไทย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กมามี่ โพโค ผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ไลฟ์รี่ และผ้าอนามัยโซฟี ด้วยงบตลาด 200-300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น อาทิ ตลาดผ้าอนามัย ผู้หญิงต้องการสินค้าที่นุ่ม สบาย ส่วนตลาดผ้าอ้อมเด็กต้องการสินค้าที่บางลง เป็นต้น แต่ไม่มีแผนแตกโปรดักส์ไลน์ใหม่
สำหรับกลุ่มผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กปีนี้ บริษัทฯวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปในไทย จาก 66% เป็น 70% เพื่อสร้างสถิติตลาดโลกตอกย้ำผู้ดำเนินธุรกิจด้านการซึมซับ โดยได้วางแผนขยายตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 5% ในตลาดนี้ ซึ่งบริษัทฯเตรียมกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีพัฒนาการใช้สินค้า เช่น จากเคยใช้ขนาดเล็กเพิ่มเป็นขนาดใหญ่ หรือเปลี่ยนจากเทปกาวมาเป็นรูปแบบกางเกง ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี สัดส่วนตลาดต่างจังหวัดเพิ่มจาก 50% เป็น 65% และกรุงเทพฯ เหลือจาก 50% เป็น 35%
ผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 30% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 7,500 ล้านบาท เติบโต 30% โดยปัจจุบันมามี่ โพโค เป็นผู้นำตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก มีส่วนแบ่ง 66% เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 62% จากมูลค่าตลาด 4,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้คาดว่าตลาดเติบโต 15-20% อีกทั้งยังเป็นผู้นำตลาดผ้าอนามัย โดยโซฟีครองส่วนแบ่ง 45% ลอริเอะ 30% โมเดส 16% จากมูลค่า 3,100 ล้านบาท ตลาดโต 2% ส่วนผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่มูลค่า 500 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20% มีส่วนแบ่ง 21% เป็นอันดับสองรองจากเซอร์เทนตี้ ขณะที่ตลาดแผ่นอนามัย 500 ล้านบาท โซฟีมีส่วนแบ่ง 35% เป็นอันดับสองรองจากแคร์ฟีผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 55%