ผู้นำในตลาดฟาสต์ฟู้ดเมืองไทยตลอดกาลคือ ไก่ทอดเคเอฟซี ของบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และยังมีแบรนด์พิซซ่าฮัทด้วยที่ทำตลาดในเมืองไทย ซึ่งต้องยอมรับว่า เคเอฟซีเป็นผู้นำตลาดที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทว่า ยัมฯ เองกลับมีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอย่างมากโดยเฉพาะในระดับบริหารเบอร์หนึ่งขององค์กร ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เพราะมีการเปลี่ยนหัวเรือผู้กุมบังเหียนแล้วไม่น้อยกว่า 3 – 4 คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากกับองค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้
นับตั้งแต่ นายเฮสเตอร์ ชิว กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ลาออกจาก ยัมเมื่อช่วงประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ นายปณิธาน เศรษฐบุตร ลูกหม้ออีกคนหนึ่งที่เป็นเบอร์สองของยัม ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ต่อจากนายเฮสเตอร์ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุว่า ในช่วงนั้นเอง ที่ยัมได้ส่งนายโจเซฟ ฮาน ที่มาจากเมืองจีน เข้ามารั้งตำแหน่งคันทรีแมเนเจอร์ในประเทศไทยด้วย ซึ่งอยู่เหนือกว่านายปณิธานอีกทอดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายปณิธาน บริหารได้ไม่นานก็ตัดสินใจลาออกในช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว (ปี 2549) ปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่างลง โดยที่ทางยัมยังไม่ได้แต่งตั้งใครขึ้นมาบริหาร ปล่อยให้ นายโจเซฟ ฮาน ต้องบริหารงานในตำแหน่งคันทรีแมเนเจอร์ไปพลางๆก่อน
ล่าสุด นายโจเซฟ ฮาน ได้กลับไปบริหารงานที่เมืองจีนแล้ว ทางยัม จึงได้ประกาศแต่งตั้งให้นาย ศรัณย์ สมุทรโคจร ลูกหม้ออีกคนมารับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ศรัณย์ จะรับผิดชอบบริหารทางด้านการเงินเป็นหลัก
ตรงนี้คือปรากฏการณ์ 4-5 ปี เปลี่ยนผู้บริหาร 4 คน
น่าสังเกตุว่า อดีตผู้บริหารทั้งสองคนแรกนั้น ขณะนี้ได้ไปร่วมงานทางกลุ่มเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ แล้วทั้งคู่ กล่าวคือ นายเฮสเตอร์ ชิว นั่งบริหารดูแลธุรกิจฟาสต์ฟู้ดของกลุ่มเมเจอร์ฯซึ่งไม่นานนี้ไปซื้อลิขสิทธิ์แมคโดนัลด์มาทำในไทย ขณะที่นายปณิธานนั้นก็มานั่งบริหารงานที่บริษัท เมเจอร์ซีนีแอด จำกัด บริษัทลูกของเมเจอร์ฯที่ดูแลเกี่ยวกับการขายโฆษณา
ในยุคสมัยของผู้บริหารเหล่านี้ ดูเหมือนว่าก็ไม่แตกต่างกันเท่าใด บทบาททั้งหมดก็อยู่ที่การแสดงฝีมือด้านการทำตลาด การขยายธุรกิจ และการต่อสู้กับคู่แข่ง จะมีบ้างเหมือนกันในแง่ของการแสดงบทรุกที่ห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ที่ดูเหมือนจะฮือฮามากที่สุด แต่กลับไม่มีอะไรในกอไผ่เลย ก็คือ ยุคของนายโจเซฟ ฮาน
เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วค่ายพิซซ่าฮัท โดยนายโจเซฟ ฮาน ได้ออกโรงแถลงข่าวประเด็นเกี่ยวกับ คู่แข่งทำการตลาดโดยลอกเลียนแบบพิซซ่าฮัท ทั้งรูปแบบโปรโมชั่น ชื่อของโปรโมชั่น ตลอดจน หน้าตาของสื่อโฆษณาทั้งหลาย พร้อมทั้งขอแจ้งให้หยุดดำเนินการ มิเช่นนั้นจะดำเนินการอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ นายโจเซฟ ฮาน ปรากฎตัวต่อสื่อมวลชน
แต่แล้วเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรตามมา ปล่อยให้คนที่เฝ้าติดตาม นั่งรอเก้อ พร้อมกับการที่นายโจเซฟ ฮาน แพ็คกระเป๋าเดินทางกลับเมืองจีน
การเปลี่ยนแปลงเบอร์หนึ่งที่เกิดขึ้นในองค์กรของยัมหลายครั้ง ถูกกล่าวถึงทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยเฉพาะประเด็นของ การถดถอยของธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดอาหาร ในภาพรวม
ต้องยอมรับว่า ยัม ทุกวันนี้ แตกต่างจากอดีตอย่างมาก เนื่องจาก สภาพตลาดฟาสต์ฟู้ดไทยเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ไก่ทอดเคเอฟซี ที่เคยเป็นผู้นำอย่างโดดเด่น ก็ถูกท้าทายด้วย แบรนด์อื่น ทั้งเชสเตอร์กริลล์ หรือ แบรนด์ไก่ทอดโลคอลแบรนด์ที่ผุดขึ้นมากมามาย แม้ว่าจะไม่ใช่มาโค่นผู้นำลงแต่ก็แซะตลาดไปได้บ้าง
ขณะที่พิซซ่าฮัท นั้น เมื่อก่อนแทบจะเป็นรายเดียวผูกขาดในตลาดนี้ ทว่า เมื่อช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเมื่อมีเดอะพิซซ่าคอมปะนี เกิดขึ้นมาอีกแบรนด์ กลายเป็นคู่ต่อกรที่น่ากลัว และทุกวันนี้ พิซซ่าฮัท ก็ไม่ได้รั้งตำแหน่งผู้นำแล้ว
โดยคาดการณ์กันว่าในปีนี้ มูลค่าตลาดฟาสต์ฟู้ดโดยรวมจะมีมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มีอยู่ประมาณ 12,000 – 14,000 ล้านบาท โดยมีตลาดไก่ทอดเป็นตลาดใหญ่ที่สุดคือ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเคเอฟซีคุมตลาดกว่า 70-80% แล้ว ส่วนตลาดพิซซ่านั้น มีมูลค่าตลาดประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยมีเดอะพิซซ่าคอมปะนีและพิซซ่าฮัท แย่งชิงแชร์กัน อีกตลาดคือ ตลาดเบอร์เกอร์มีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดฟาสต์ฟู้ดโดยรวมมีอัตราการเติบโตในช่วงนี้ไม่มากนักเพียงแค่หลักเดียว
ประการสำคัญไม่ใช่อยู่ที่คู่แข่งในตลาดเดียวกัน แต่กลับเป็นธุรกิจร้านอาหารทั่วไป ที่ในช่วง 3-4 ปีมานี้ มีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะร้านอาหารโลคอลแบรนด์ที่พยายามก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลักษณะเชนที่มีหลายสาขา และโชว์ความเป็นโมเดิร์นฟู้ดมากขึ้น ทำให้ตลาดตรงนี้เริ่มเข้ามาเบียดตลาดฟาสต์ฟู้ดไปได้อย่างมาก ผนวกกับกระแสรักสุขภาพมาแรงในช่วงหลัง ผู้บริโภคหันมาเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ถึงขนาดที่ทำให้ฟาสต์ฟู้ดหลายแบรนด์ต้องเร่งปรับตัวนำเสนอเมนูสุขภาพเข้ามามากมายอย่างเต็มครัวเลยก็ว่าได้
ธุรกิจร้านอาหารใหม่ๆ นี้มีการเติบโตมากกว่า 15-20% ต่อปีเลยทีเดียว พบได้จากการขยายสาขามากขึ้นของแบรนด์เดิม และการเกิดแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่องที่น่าจับตามอง
น่าจับตาดูถึงการก้าวขึ้นมานั่งกุมบังเหียนยัม ของนายศรัณย์ว่าจากนี้ไปทั้งเคเอฟซีและพิซซ่าฮัทจะมีการแสดงบทรุกและบทรับอย่างไรบ้าง
ทว่า ยัมฯ เองกลับมีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอย่างมากโดยเฉพาะในระดับบริหารเบอร์หนึ่งขององค์กร ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เพราะมีการเปลี่ยนหัวเรือผู้กุมบังเหียนแล้วไม่น้อยกว่า 3 – 4 คน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากกับองค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้
นับตั้งแต่ นายเฮสเตอร์ ชิว กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้ลาออกจาก ยัมเมื่อช่วงประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ นายปณิธาน เศรษฐบุตร ลูกหม้ออีกคนหนึ่งที่เป็นเบอร์สองของยัม ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ต่อจากนายเฮสเตอร์ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุว่า ในช่วงนั้นเอง ที่ยัมได้ส่งนายโจเซฟ ฮาน ที่มาจากเมืองจีน เข้ามารั้งตำแหน่งคันทรีแมเนเจอร์ในประเทศไทยด้วย ซึ่งอยู่เหนือกว่านายปณิธานอีกทอดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายปณิธาน บริหารได้ไม่นานก็ตัดสินใจลาออกในช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว (ปี 2549) ปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่างลง โดยที่ทางยัมยังไม่ได้แต่งตั้งใครขึ้นมาบริหาร ปล่อยให้ นายโจเซฟ ฮาน ต้องบริหารงานในตำแหน่งคันทรีแมเนเจอร์ไปพลางๆก่อน
ล่าสุด นายโจเซฟ ฮาน ได้กลับไปบริหารงานที่เมืองจีนแล้ว ทางยัม จึงได้ประกาศแต่งตั้งให้นาย ศรัณย์ สมุทรโคจร ลูกหม้ออีกคนมารับตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ศรัณย์ จะรับผิดชอบบริหารทางด้านการเงินเป็นหลัก
ตรงนี้คือปรากฏการณ์ 4-5 ปี เปลี่ยนผู้บริหาร 4 คน
น่าสังเกตุว่า อดีตผู้บริหารทั้งสองคนแรกนั้น ขณะนี้ได้ไปร่วมงานทางกลุ่มเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ แล้วทั้งคู่ กล่าวคือ นายเฮสเตอร์ ชิว นั่งบริหารดูแลธุรกิจฟาสต์ฟู้ดของกลุ่มเมเจอร์ฯซึ่งไม่นานนี้ไปซื้อลิขสิทธิ์แมคโดนัลด์มาทำในไทย ขณะที่นายปณิธานนั้นก็มานั่งบริหารงานที่บริษัท เมเจอร์ซีนีแอด จำกัด บริษัทลูกของเมเจอร์ฯที่ดูแลเกี่ยวกับการขายโฆษณา
ในยุคสมัยของผู้บริหารเหล่านี้ ดูเหมือนว่าก็ไม่แตกต่างกันเท่าใด บทบาททั้งหมดก็อยู่ที่การแสดงฝีมือด้านการทำตลาด การขยายธุรกิจ และการต่อสู้กับคู่แข่ง จะมีบ้างเหมือนกันในแง่ของการแสดงบทรุกที่ห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ที่ดูเหมือนจะฮือฮามากที่สุด แต่กลับไม่มีอะไรในกอไผ่เลย ก็คือ ยุคของนายโจเซฟ ฮาน
เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วค่ายพิซซ่าฮัท โดยนายโจเซฟ ฮาน ได้ออกโรงแถลงข่าวประเด็นเกี่ยวกับ คู่แข่งทำการตลาดโดยลอกเลียนแบบพิซซ่าฮัท ทั้งรูปแบบโปรโมชั่น ชื่อของโปรโมชั่น ตลอดจน หน้าตาของสื่อโฆษณาทั้งหลาย พร้อมทั้งขอแจ้งให้หยุดดำเนินการ มิเช่นนั้นจะดำเนินการอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ นายโจเซฟ ฮาน ปรากฎตัวต่อสื่อมวลชน
แต่แล้วเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรตามมา ปล่อยให้คนที่เฝ้าติดตาม นั่งรอเก้อ พร้อมกับการที่นายโจเซฟ ฮาน แพ็คกระเป๋าเดินทางกลับเมืองจีน
การเปลี่ยนแปลงเบอร์หนึ่งที่เกิดขึ้นในองค์กรของยัมหลายครั้ง ถูกกล่าวถึงทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยเฉพาะประเด็นของ การถดถอยของธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดอาหาร ในภาพรวม
ต้องยอมรับว่า ยัม ทุกวันนี้ แตกต่างจากอดีตอย่างมาก เนื่องจาก สภาพตลาดฟาสต์ฟู้ดไทยเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ไก่ทอดเคเอฟซี ที่เคยเป็นผู้นำอย่างโดดเด่น ก็ถูกท้าทายด้วย แบรนด์อื่น ทั้งเชสเตอร์กริลล์ หรือ แบรนด์ไก่ทอดโลคอลแบรนด์ที่ผุดขึ้นมากมามาย แม้ว่าจะไม่ใช่มาโค่นผู้นำลงแต่ก็แซะตลาดไปได้บ้าง
ขณะที่พิซซ่าฮัท นั้น เมื่อก่อนแทบจะเป็นรายเดียวผูกขาดในตลาดนี้ ทว่า เมื่อช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเมื่อมีเดอะพิซซ่าคอมปะนี เกิดขึ้นมาอีกแบรนด์ กลายเป็นคู่ต่อกรที่น่ากลัว และทุกวันนี้ พิซซ่าฮัท ก็ไม่ได้รั้งตำแหน่งผู้นำแล้ว
โดยคาดการณ์กันว่าในปีนี้ มูลค่าตลาดฟาสต์ฟู้ดโดยรวมจะมีมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มีอยู่ประมาณ 12,000 – 14,000 ล้านบาท โดยมีตลาดไก่ทอดเป็นตลาดใหญ่ที่สุดคือ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเคเอฟซีคุมตลาดกว่า 70-80% แล้ว ส่วนตลาดพิซซ่านั้น มีมูลค่าตลาดประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยมีเดอะพิซซ่าคอมปะนีและพิซซ่าฮัท แย่งชิงแชร์กัน อีกตลาดคือ ตลาดเบอร์เกอร์มีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดฟาสต์ฟู้ดโดยรวมมีอัตราการเติบโตในช่วงนี้ไม่มากนักเพียงแค่หลักเดียว
ประการสำคัญไม่ใช่อยู่ที่คู่แข่งในตลาดเดียวกัน แต่กลับเป็นธุรกิจร้านอาหารทั่วไป ที่ในช่วง 3-4 ปีมานี้ มีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะร้านอาหารโลคอลแบรนด์ที่พยายามก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นลักษณะเชนที่มีหลายสาขา และโชว์ความเป็นโมเดิร์นฟู้ดมากขึ้น ทำให้ตลาดตรงนี้เริ่มเข้ามาเบียดตลาดฟาสต์ฟู้ดไปได้อย่างมาก ผนวกกับกระแสรักสุขภาพมาแรงในช่วงหลัง ผู้บริโภคหันมาเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ถึงขนาดที่ทำให้ฟาสต์ฟู้ดหลายแบรนด์ต้องเร่งปรับตัวนำเสนอเมนูสุขภาพเข้ามามากมายอย่างเต็มครัวเลยก็ว่าได้
ธุรกิจร้านอาหารใหม่ๆ นี้มีการเติบโตมากกว่า 15-20% ต่อปีเลยทีเดียว พบได้จากการขยายสาขามากขึ้นของแบรนด์เดิม และการเกิดแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่องที่น่าจับตามอง
น่าจับตาดูถึงการก้าวขึ้นมานั่งกุมบังเหียนยัม ของนายศรัณย์ว่าจากนี้ไปทั้งเคเอฟซีและพิซซ่าฮัทจะมีการแสดงบทรุกและบทรับอย่างไรบ้าง