นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายฯ คาดการเปิดใช้สนามบินดอนเมืองอีกครั้ง จะช่วยเสริมรายได้ต่อกลุ่มธุรกิจป้ายย่านถนนวิภาวดีให้คึกคักอีกครั้ง หลังตลาดหดตัวพร้อมทั้งราคาตกลงไปก่อนหน้านี้ ส่วนเส้นทางมอเตอร์เวย์ลูกค้ายังมั่นใจขึ้นป้ายโฆษณาอยู่ เหตุมั่นใจสุวรรณภูมิไม่ปิดแน่ พร้อมเอ่ยปากปีนี้ธุรกิจป้ายเหนื่อยอีกปี ฟากมาสเตอร์แอดคาดหวังรายได้เติบโต 10-15%
นายนพดล ตัณศลารักษ์ นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีมติให้ย้ายเที่ยวบินในประเทศบางส่วนกลับไปใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยเที่ยวบินในประเทศที่จะให้บริการนั้น จะเป็นเที่ยวบินที่ไม่ต้องต่อเที่ยวบินอื่น ภายใน 45 วันนั้น ในฐานะนายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา มองว่า จะเป็นการดีสำหรับธุรกิจป้ายย่านสนามบินดอนเมืองมากกว่าจะเป็นผลลบแก่วงการธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้ง
“การย้ายสายการบินในประเทศบางส่วนมาที่สนามบินดอนเมือง มองว่าจะส่งผลในด้านบวกสำหรับธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะมีลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าจะสนใจที่จะใช้สื่อป้ายโฆษณากลางแจ้งมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่สายการบินในประเทศที่คาดว่าจะย้ายกลับมาที่สนามบินดอนเมืองนั้น จะเป็นเที่ยวบินในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวทั้งสิ้น”
นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณากล่าวต่อว่า หลังจากที่มีการย้ายสายการบินไปที่สุวรรณภูมิหมดนั้น ที่ผ่านมาส่งผลให้รายได้โดยรวมของธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งบนเส้นทางถนนวิภาวดีหดลงไปกว่า 30-40% ขณะเดียวกันทางด้านราคาก็ลดลงตามไปด้วยอีกประมาณ 20% จากราคาเฉลี่ยที่ 100,000-400,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่ใช้สื่อโฆษณาดังกล่าวจะเป็นกลุ่มแบรนด์สินค้าชั้นนำ แต่ในปัจจุบันหันไปใช้สื่อโฆษณาดังกล่าวบนเส้นทางมอเตอร์เวย์ ที่จะไปยังสนามบินสุวรรณภูมิแทน
ถึงแม้จะมีลูกค้าบางส่วนกลับมาใช้สื่อป้ายโฆษณาย่านสนามบินดอนเมืองก็ตาม สำหรับสถานการณ์ธุรกิจป้ายบนเส้นทางมอเตอร์เวย์นั้น มองว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างไร เนื่องจากลูกค้ายังมีความมั่นใจในศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ เห็นได้จากช่วงที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะต้องปิดสนามบินสุวรรณภูมิในเดือนมกราคมผ่านมานั้น ยังไม่มีลูกค้ารายใดติดต่อขอชะลอหรือยกเลิกการใช้สื่อป้ายโฆษณาดังกล่าวเลย
สำหรับสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจป้ายโฆษณาบนถนนมอเตอร์เวย์ก่อนถึงสนามบินสุวรรณภูมินั้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มแบรนด์สินค้าชั้นนำไม่ต่ำกว่า 30-40 ป้าย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาท (ไม่นับป้ายโฆษณาของกลุ่มบ้านจัดสรรต่างๆ) ซึ่งการแข่งขันดังกล่าวจะเป็นเรื่องของโลเกชั่นเป็นหลัก ขณะที่เส้นทางดังกล่าว มีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับป้ายโฆษณากลางแจ้งประมาณ 10 บริษัท โดยบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ครองส่วนแบ่งมากที่สุดประมาณ 15%
“มาสเตอร์แอด” ปีนี้เหนื่อย คาดรายได้เติบโต 15%
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลประกอบของบริษัทฯของปีที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตที่ไม่ค่อยสูงนักโดยใกล้เคียงกับปี 2548 ทั้งนี้เกิดจากลูกค้าชะลอการใช้งบประมาณทางด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปในช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา ซึ่งการชะลอการใช้งบดังกล่าว เกิดจากปัญหาการเมือง น้ำมัน และความไม่สงบทางภาคใต้เป็นปัจจัยหลัก ทางบริษัทฯจึงตั้งเป้าผลประกอบการในปีนี้เติบโตขึ้นเพียง 15% เท่านั้น ซึ่งเป้าหมายของรายได้ดังกล่าวเป็นการเติบโตที่เป็นไปตามปกติในแต่ละปีเท่านั้น
ขณะเดียวกันสำหรับผู้ประกอบการการดำเนินธุรกิจป้ายโฆษณาในปีนี้จะต้องลำบากอีกเช่นเดียวกัน เนื่องจากภาพรวมของประเทศขณะนี้ไม่เอื้อให้เกิดการลงทุนแต่อย่างไร ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจป้ายและโฆษณาในปีนี้คาดว่าจะทรงตัว อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท แต่ถ้าผู้ประกอบการมีการแนะนำนวัตรกรรมเกี่ยวกับป้ายใหม่ๆ ก็คาดว่าน่าจะทำให้ภาพรวมของตลาดเติบโตขึ้นได้บ้าง
นายนพดล ตัณศลารักษ์ นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีมติให้ย้ายเที่ยวบินในประเทศบางส่วนกลับไปใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยเที่ยวบินในประเทศที่จะให้บริการนั้น จะเป็นเที่ยวบินที่ไม่ต้องต่อเที่ยวบินอื่น ภายใน 45 วันนั้น ในฐานะนายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณา มองว่า จะเป็นการดีสำหรับธุรกิจป้ายย่านสนามบินดอนเมืองมากกว่าจะเป็นผลลบแก่วงการธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้ง
“การย้ายสายการบินในประเทศบางส่วนมาที่สนามบินดอนเมือง มองว่าจะส่งผลในด้านบวกสำหรับธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะมีลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าจะสนใจที่จะใช้สื่อป้ายโฆษณากลางแจ้งมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่สายการบินในประเทศที่คาดว่าจะย้ายกลับมาที่สนามบินดอนเมืองนั้น จะเป็นเที่ยวบินในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวทั้งสิ้น”
นายกสมาคมผู้ผลิตป้ายและโฆษณากล่าวต่อว่า หลังจากที่มีการย้ายสายการบินไปที่สุวรรณภูมิหมดนั้น ที่ผ่านมาส่งผลให้รายได้โดยรวมของธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งบนเส้นทางถนนวิภาวดีหดลงไปกว่า 30-40% ขณะเดียวกันทางด้านราคาก็ลดลงตามไปด้วยอีกประมาณ 20% จากราคาเฉลี่ยที่ 100,000-400,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าที่ใช้สื่อโฆษณาดังกล่าวจะเป็นกลุ่มแบรนด์สินค้าชั้นนำ แต่ในปัจจุบันหันไปใช้สื่อโฆษณาดังกล่าวบนเส้นทางมอเตอร์เวย์ ที่จะไปยังสนามบินสุวรรณภูมิแทน
ถึงแม้จะมีลูกค้าบางส่วนกลับมาใช้สื่อป้ายโฆษณาย่านสนามบินดอนเมืองก็ตาม สำหรับสถานการณ์ธุรกิจป้ายบนเส้นทางมอเตอร์เวย์นั้น มองว่าจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างไร เนื่องจากลูกค้ายังมีความมั่นใจในศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ เห็นได้จากช่วงที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะต้องปิดสนามบินสุวรรณภูมิในเดือนมกราคมผ่านมานั้น ยังไม่มีลูกค้ารายใดติดต่อขอชะลอหรือยกเลิกการใช้สื่อป้ายโฆษณาดังกล่าวเลย
สำหรับสถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจป้ายโฆษณาบนถนนมอเตอร์เวย์ก่อนถึงสนามบินสุวรรณภูมินั้นค่อนข้างสูง โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มแบรนด์สินค้าชั้นนำไม่ต่ำกว่า 30-40 ป้าย คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาท (ไม่นับป้ายโฆษณาของกลุ่มบ้านจัดสรรต่างๆ) ซึ่งการแข่งขันดังกล่าวจะเป็นเรื่องของโลเกชั่นเป็นหลัก ขณะที่เส้นทางดังกล่าว มีบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับป้ายโฆษณากลางแจ้งประมาณ 10 บริษัท โดยบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ครองส่วนแบ่งมากที่สุดประมาณ 15%
“มาสเตอร์แอด” ปีนี้เหนื่อย คาดรายได้เติบโต 15%
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลประกอบของบริษัทฯของปีที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตที่ไม่ค่อยสูงนักโดยใกล้เคียงกับปี 2548 ทั้งนี้เกิดจากลูกค้าชะลอการใช้งบประมาณทางด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปในช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา ซึ่งการชะลอการใช้งบดังกล่าว เกิดจากปัญหาการเมือง น้ำมัน และความไม่สงบทางภาคใต้เป็นปัจจัยหลัก ทางบริษัทฯจึงตั้งเป้าผลประกอบการในปีนี้เติบโตขึ้นเพียง 15% เท่านั้น ซึ่งเป้าหมายของรายได้ดังกล่าวเป็นการเติบโตที่เป็นไปตามปกติในแต่ละปีเท่านั้น
ขณะเดียวกันสำหรับผู้ประกอบการการดำเนินธุรกิจป้ายโฆษณาในปีนี้จะต้องลำบากอีกเช่นเดียวกัน เนื่องจากภาพรวมของประเทศขณะนี้ไม่เอื้อให้เกิดการลงทุนแต่อย่างไร ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจป้ายและโฆษณาในปีนี้คาดว่าจะทรงตัว อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท แต่ถ้าผู้ประกอบการมีการแนะนำนวัตรกรรมเกี่ยวกับป้ายใหม่ๆ ก็คาดว่าน่าจะทำให้ภาพรวมของตลาดเติบโตขึ้นได้บ้าง