สยามฟิวเจอร์ฯ ลงทุน 1,000ล้านบาท ผุด 5 สาขาใหม่ปีนี้ เผยได้พันธมิตรใหม่ กลุ่มคาร์ฟูร์ซุ่มผุดรูปแบบซูเปอร์มาร์เกต ที่ สาขาถนนสุขาภิบาล 1 พร้อมรุกภูธร คาดปีหน้าเห็นแน่มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 25%
นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SF) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าแบบเปิดเป็นแห่งแรกของไทย เปิดเผยว่า ในปี 2550 นี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดโครงการศูนย์การค้าใหม่อีก 5 ศูนย์ฯ ด้วยกันคือที่ รัชโยธิน, เกษตร-นวมินทร์,เมอคิวรี่ ทาวเวอร์ ,สุขาภิบาล 1 และที่พัทยา โดยจะใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท
โดยสาขาที่ถนนสุขาภิบาล 1 นั้นจะมีพันธมิตรเข้ามาใหม่ คือ กลุ่มคาร์ฟูร์ ที่จะเปิดตัวซูเปอร์มาร์เกตกับบริษัทฯเป็นสาขาแรก และเป็นแห่งแรกของคาร์ฟูร์ในไทยในรูปแบบดังกล่าวนี้ด้วยย จากเดิมที่พันธมิตรค้าปลีกรายใหญ่ของบริษัทฯ จะมีเช่น สาขาวังหินและลาดพร้าว 120 เป็นเทสโก้โลตัสเอ็กซ์เพรส ส่วนสาขาฉะเชิงเทราและถนนเพชรเกษมจะเป็นบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์
ทั้งนี้แผนงานจากนี้ไปจะเปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 5 แห่งต่อปี สำหรับพื้นที่ที่จะทำการเปิดศูนย์ฯนั้นก็จะพิจารณาจากทำเลสถานที่ตั้งก่อนเป็นอันดับแรก โดยดูจากภายในรัศมี 2 กิโลเมตร ถ้ามีครัวเรือนที่อยู่อาศัยเกิน 20,000 หลังขึ้นไป และมีคนอาศัยเกิน 50,000 คน ก็ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะเปิด อีกทั้งยังดูจากการเดินทางที่สะดวก และเป็นศูนย์ที่สามารถเปิดอยู่ใจกลางเมือง ด้วย ซึ่งมี 2 รูปแบบหลักๆคือ ศูนย์การค้าชุมชน และศูนย์การค้าแบบไลฟ์สไตล์
โดยสามารถแกแยกออกมาได้เป็น 3แบรนด์ คือ เอสพลานาด จะมีพื้นที่ประมาณ 40,000-50,000 ตารางเมตร,ดิ อะเวนิว มีพื้นที่ประมาณ 25,000ตารางเมตร และอะเวนูมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษทฯ มีพื้นที่ให้เช่าและขายรวม 1.9แสนตารางเมตร และคาดว่าใน ปีนี้หลังจากการขยายสาขาใหม่แล้วจะมีพื้นที่รวมเพิ่มเป็น 2.74 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 44%
ส่วนทางด้านตลาดต่างจังหวัดนั้นก็มีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนสูงมาก ขณะนี้กำลังดูพื้นที่และทำเลในการเปิดอยู่ โดยจะไปเปิดทั้ง 2 รูปแบบ คาดว่าในปี 2551 จะพัฒนาโครงการได้ สำหรับปีนี้ ทางบริษัทฯคาดมีอัตรารายได้เติบโตเพิ่ม 23-25% จากปีที่แล้ว ซึ่งรายได้ของปี 2549 อยู่ที่ 1,700 ล้านบาท ถือว่ามีอัตรารายได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ โดยมียอดความถี่ในการซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10%
สำหรับปีนี้จากเรื่องผลกระทบทางการเมือง และเรื่องของสถานการณ์ความไม่มั่นคง ทางบริษัทฯได้รับผลกระทบพอสมควร ซึ่งอาจจะทำให้ผู้บริโภคลดลง แต่คงไม่มากนัก เนื่องจากศูนย์ฯของทางบริษัทฯ ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ได้ขายของแฟชั่น น่าจะส่งผล
ที่ดีได้ในระยะยาว
นายนพพร กล่าวว่า บริษัทฯได้ส่งโครงการ เจ อะเวนู เข้าประกวดรางวัล ICSC International Design and Development Awards ครั้งที่ 30 และได้รับรางวัลในสาขาศูนย์การค้าขนาดเล็ก โดยมียอดคนเข้าศูนย์ฯกว่า 20,000คนต่อปี สร้างรายได้ให้กับศูนย์กว่า 200ล้านบาท ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกที่มีการแข่งขันสูง ต้องสู้กับศูนย์การค้าที่เข้าร่วมประกวดอีกกว่า 100ศูนย์จากทั่วโลก
นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SF) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าแบบเปิดเป็นแห่งแรกของไทย เปิดเผยว่า ในปี 2550 นี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดโครงการศูนย์การค้าใหม่อีก 5 ศูนย์ฯ ด้วยกันคือที่ รัชโยธิน, เกษตร-นวมินทร์,เมอคิวรี่ ทาวเวอร์ ,สุขาภิบาล 1 และที่พัทยา โดยจะใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท
โดยสาขาที่ถนนสุขาภิบาล 1 นั้นจะมีพันธมิตรเข้ามาใหม่ คือ กลุ่มคาร์ฟูร์ ที่จะเปิดตัวซูเปอร์มาร์เกตกับบริษัทฯเป็นสาขาแรก และเป็นแห่งแรกของคาร์ฟูร์ในไทยในรูปแบบดังกล่าวนี้ด้วยย จากเดิมที่พันธมิตรค้าปลีกรายใหญ่ของบริษัทฯ จะมีเช่น สาขาวังหินและลาดพร้าว 120 เป็นเทสโก้โลตัสเอ็กซ์เพรส ส่วนสาขาฉะเชิงเทราและถนนเพชรเกษมจะเป็นบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์
ทั้งนี้แผนงานจากนี้ไปจะเปิดสาขาใหม่เฉลี่ย 5 แห่งต่อปี สำหรับพื้นที่ที่จะทำการเปิดศูนย์ฯนั้นก็จะพิจารณาจากทำเลสถานที่ตั้งก่อนเป็นอันดับแรก โดยดูจากภายในรัศมี 2 กิโลเมตร ถ้ามีครัวเรือนที่อยู่อาศัยเกิน 20,000 หลังขึ้นไป และมีคนอาศัยเกิน 50,000 คน ก็ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพที่จะเปิด อีกทั้งยังดูจากการเดินทางที่สะดวก และเป็นศูนย์ที่สามารถเปิดอยู่ใจกลางเมือง ด้วย ซึ่งมี 2 รูปแบบหลักๆคือ ศูนย์การค้าชุมชน และศูนย์การค้าแบบไลฟ์สไตล์
โดยสามารถแกแยกออกมาได้เป็น 3แบรนด์ คือ เอสพลานาด จะมีพื้นที่ประมาณ 40,000-50,000 ตารางเมตร,ดิ อะเวนิว มีพื้นที่ประมาณ 25,000ตารางเมตร และอะเวนูมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันบริษทฯ มีพื้นที่ให้เช่าและขายรวม 1.9แสนตารางเมตร และคาดว่าใน ปีนี้หลังจากการขยายสาขาใหม่แล้วจะมีพื้นที่รวมเพิ่มเป็น 2.74 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 44%
ส่วนทางด้านตลาดต่างจังหวัดนั้นก็มีโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนสูงมาก ขณะนี้กำลังดูพื้นที่และทำเลในการเปิดอยู่ โดยจะไปเปิดทั้ง 2 รูปแบบ คาดว่าในปี 2551 จะพัฒนาโครงการได้ สำหรับปีนี้ ทางบริษัทฯคาดมีอัตรารายได้เติบโตเพิ่ม 23-25% จากปีที่แล้ว ซึ่งรายได้ของปี 2549 อยู่ที่ 1,700 ล้านบาท ถือว่ามีอัตรารายได้เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ โดยมียอดความถี่ในการซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10%
สำหรับปีนี้จากเรื่องผลกระทบทางการเมือง และเรื่องของสถานการณ์ความไม่มั่นคง ทางบริษัทฯได้รับผลกระทบพอสมควร ซึ่งอาจจะทำให้ผู้บริโภคลดลง แต่คงไม่มากนัก เนื่องจากศูนย์ฯของทางบริษัทฯ ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่ได้ขายของแฟชั่น น่าจะส่งผล
ที่ดีได้ในระยะยาว
นายนพพร กล่าวว่า บริษัทฯได้ส่งโครงการ เจ อะเวนู เข้าประกวดรางวัล ICSC International Design and Development Awards ครั้งที่ 30 และได้รับรางวัลในสาขาศูนย์การค้าขนาดเล็ก โดยมียอดคนเข้าศูนย์ฯกว่า 20,000คนต่อปี สร้างรายได้ให้กับศูนย์กว่า 200ล้านบาท ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกที่มีการแข่งขันสูง ต้องสู้กับศูนย์การค้าที่เข้าร่วมประกวดอีกกว่า 100ศูนย์จากทั่วโลก