แคนนอน ไม่หวั่นบอมบ์ ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย ลั่นกลองรบ ทุ่มเม็ดเงินอัดฉีดไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท อัดกิจกรรมทางการตลาด ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ ขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่ม มั่นใจสิ้นปีเบียดโซนี่รั้งตำแหน่งผู้นำ ด้วยรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท จากรายได้รวม 4,000 ล้านบาท แน่นอน
นายวารินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้เข้ามาทำตลาดในส่วนของกล้องดิจิตอลมากขึ้น โดยเน้นในเรื่องของภาพลักษณ์แบรนด์ จากเดิมที่แคนนอน ถือเป็นผู้นำในเรื่องของกล้องอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการเข้ามาทำตลาดกล้องดิจิตอลจึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายกล้องดิจิตอลกว่า 1,700 ล้านบาท เติบโตจากปี 2548 กว่า 60% เป็นอันดับสองของตลาด ด้วยมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 20%
ส่วนในปีนี้ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดขึ้นในช่วงวันขึ้นปีใหม่ ในภาพรวมเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดกล้องดิจิตอลแต่อย่างไร หรือมีก็เพียงเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงเดือนแรกของปีนี้จึงมองว่า ตลาดยังไปได้ดีอยู่ และทางบริษัทฯเองยังดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดตามแผนเดิมที่วางไว้
โดยบริษัทฯได้จัดเตรียมงบประมาณไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท สำหรับทำตลาดตลอดทั้งปี โดยจะในเรื่องของ การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่ม จากเดิมที่มีเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ 8 ราย และดีลเลอร์ทั่วไปอีก 20 รายทั่วประเทศนั้นจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายในส่วนของร้านไอทีทั่วไป และศูนย์ไอทีมากยิ่ง รวมไปถึงการจับมือกับสถาบันทางการเงิน บัตรเครดิต เพื่อเสริมในเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆอีกด้วย ขณะที่ในส่วนของศูนย์โชว์รูมและเซอร์วิส ที่มีกว่า 6-7 แห่งทั่วประเทศนั้น ปีนี้จะมีการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด
“ปีนี้บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับช่องทางการจัดจำหน่ายมากยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในส่วนของร้านไอที ให้มีสินค้าของบริษัทฯวางจำหน่ายมากขึ้น รวมไปถึงดีลเลอร์ ที่จากเดิมมีการจำหน่ายแต่เพียงสินค้าในกลุ่มไอทีของทางแคนนอน ก็จะปรับไลน์ให้มีการวางจำหน่ายกล้องดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
นอกจากนี้บริษัทฯจะมีการเปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี คาดว่าจากกลยุทธ์ดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,300-2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 40% และคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นายวรินทร์ได้กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ด้วยว่า สถานการณ์ตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ คาดว่ายังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอยู่ และจะเป็นการแข่งขันในเรื่องของเทคโนโลยี และเรื่องของโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมมากกว่า ที่จะเป็นในเรื่องของการลดราคาสินค้า เพราะในปีที่ผ่านมากลยุทธ์ทางด้านราคาถูกนำมาใช้จนทำให้สินค้าไม่สามารถ จำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่านี้อีกแล้ว
ส่วนทางด้านผู้บริโภคนั้นมองว่า ยังมีความต้องการที่ดีอยู่ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะเป็นเจ้าของกล้องดิจิตอลอยู่ค่อนข้างสูงก็ตาม แต่มองว่ายังมีความต้องการทั้งในส่วนของกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีกมาก หรือมีอัตราการเติบโตของตลาดไม่ต่ำกว่า 10% ตามที่จีเอฟเคคาดการณ์ไว้นั้นเอง
ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้รวมกว่า 4,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27-30% แบ่งเป็นรายได้จากกล้องดิจิตอล 40% รองลงมา คือ พริ้นเตอร์ 30% และที่เหลือเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร
ส่วนตลาดกล้องดิจิตอลในปีที่ผ่านมา โซนี่ ครองความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 29% อันดับสองคือ แคนอน มีแชร์ 12% รองลงมาคือ ซัมซุง มีแชร์ 11% และฟูจิมีแชร์ 9% อยู่อันดับ 4 โดยพานาโซนิครั้งท้ายอันดับ 5 มีแชร์อยู่ที่ 7.5%
นายวารินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯได้เข้ามาทำตลาดในส่วนของกล้องดิจิตอลมากขึ้น โดยเน้นในเรื่องของภาพลักษณ์แบรนด์ จากเดิมที่แคนนอน ถือเป็นผู้นำในเรื่องของกล้องอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นการเข้ามาทำตลาดกล้องดิจิตอลจึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายกล้องดิจิตอลกว่า 1,700 ล้านบาท เติบโตจากปี 2548 กว่า 60% เป็นอันดับสองของตลาด ด้วยมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 20%
ส่วนในปีนี้ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดขึ้นในช่วงวันขึ้นปีใหม่ ในภาพรวมเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดกล้องดิจิตอลแต่อย่างไร หรือมีก็เพียงเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงเดือนแรกของปีนี้จึงมองว่า ตลาดยังไปได้ดีอยู่ และทางบริษัทฯเองยังดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดตามแผนเดิมที่วางไว้
โดยบริษัทฯได้จัดเตรียมงบประมาณไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท สำหรับทำตลาดตลอดทั้งปี โดยจะในเรื่องของ การสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่ม จากเดิมที่มีเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ 8 ราย และดีลเลอร์ทั่วไปอีก 20 รายทั่วประเทศนั้นจะเพิ่มช่องทางจำหน่ายในส่วนของร้านไอทีทั่วไป และศูนย์ไอทีมากยิ่ง รวมไปถึงการจับมือกับสถาบันทางการเงิน บัตรเครดิต เพื่อเสริมในเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆอีกด้วย ขณะที่ในส่วนของศูนย์โชว์รูมและเซอร์วิส ที่มีกว่า 6-7 แห่งทั่วประเทศนั้น ปีนี้จะมีการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด
“ปีนี้บริษัทฯจะให้ความสำคัญกับช่องทางการจัดจำหน่ายมากยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในส่วนของร้านไอที ให้มีสินค้าของบริษัทฯวางจำหน่ายมากขึ้น รวมไปถึงดีลเลอร์ ที่จากเดิมมีการจำหน่ายแต่เพียงสินค้าในกลุ่มไอทีของทางแคนนอน ก็จะปรับไลน์ให้มีการวางจำหน่ายกล้องดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
นอกจากนี้บริษัทฯจะมีการเปิดตัวกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี คาดว่าจากกลยุทธ์ดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,300-2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 40% และคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นายวรินทร์ได้กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ด้วยว่า สถานการณ์ตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ คาดว่ายังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอยู่ และจะเป็นการแข่งขันในเรื่องของเทคโนโลยี และเรื่องของโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมมากกว่า ที่จะเป็นในเรื่องของการลดราคาสินค้า เพราะในปีที่ผ่านมากลยุทธ์ทางด้านราคาถูกนำมาใช้จนทำให้สินค้าไม่สามารถ จำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่านี้อีกแล้ว
ส่วนทางด้านผู้บริโภคนั้นมองว่า ยังมีความต้องการที่ดีอยู่ ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ผู้บริโภคจะเป็นเจ้าของกล้องดิจิตอลอยู่ค่อนข้างสูงก็ตาม แต่มองว่ายังมีความต้องการทั้งในส่วนของกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีกมาก หรือมีอัตราการเติบโตของตลาดไม่ต่ำกว่า 10% ตามที่จีเอฟเคคาดการณ์ไว้นั้นเอง
ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้รวมกว่า 4,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27-30% แบ่งเป็นรายได้จากกล้องดิจิตอล 40% รองลงมา คือ พริ้นเตอร์ 30% และที่เหลือเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร
ส่วนตลาดกล้องดิจิตอลในปีที่ผ่านมา โซนี่ ครองความเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 29% อันดับสองคือ แคนอน มีแชร์ 12% รองลงมาคือ ซัมซุง มีแชร์ 11% และฟูจิมีแชร์ 9% อยู่อันดับ 4 โดยพานาโซนิครั้งท้ายอันดับ 5 มีแชร์อยู่ที่ 7.5%