เพิ่งเซ็นสัญญาว่าจ้างไปสดๆร้อน สำหรับ พรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) คนใหม่ แต่หากมองลึกลงไปจากประวัติการทำงาน เธอไม่ใช่คนหน้าใหม่ ที่เพิ่มเข้ามาทำงานด้านการท่องเที่ยว และยังถือเป็นลูกหม้อ ททท. เพราะเป็นที่ทำงานตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันซึ่งถ้านับเป็นตัวเลขคงจะราวๆ 36 ปี ทำให้เธอมีโอกาสได้รับผิดชอบและดูแลงานในหลายๆด้านในองค์กรแห่งนี้ ได้แก่ กองสำนักงานต่างประเทศ ฝ่านบริหาร , งานรวบรวมและวิเคราะห์ข่าวสาร กองสถิติและวิจัย ฝ่ายวางแผนและพัฒนา ,งานส่งเสริมการประชุม กองการประชุมนานาชาติ ฝ่ายส่งเสริมการรตลาด ,กองเผยแพร่การตลาด ,ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ต่างประเทศ(สิงคโปร์ และออสเตรเลีย) ,ฝ่ายบริหารการตลาด ,รองผู้ว่าการฝ่ายตลาดต่างประเทศ และรองผู้ว่าการฝ่ายตลาดในประเทศ นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งในองค์กรระดับสากล เช่น กรรมการสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(PATA) ,สมาคมผู้แทนองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวนานาชาติ เป็นต้น
พรศิริ กล่าวว่า จะใช้ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา พัฒนาองค์กร และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ให้ติด 1 ใน 3 ของเอเชีย ภายใน ระยะเวลา 4 ปีนับจากนี้ไป โดยกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ คือเรื่องของการสร้างแบรนด์ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ขยายไปในกลุ่มนักท่องเที่ยวทุกเซกเมนต์ ขณะเดียวกันจะเร่งหาพันธมิตรในทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้แก่ สายการบิน และบริษัทนำเที่ยว รวมถึงภาคเอกชนที่จะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนในการจัดกิจกรรม และแคมเปญต่างๆ นอกจากนั้นจะเร่งเพิ่มสัดส่วนตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ที่เที่ยวแบบรู้รักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม
“การมีพันธมิตร หรือมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี เวลาเราลำบากเขาจะช่วยเหลือเรา อย่างการจัดแฟมทริปนำสื่อมวลชนและบริษัทนำเที่ยว มาชมแหล่งท่องเที่ยวยังสถานที่จริง เมื่อเขาเกิดความประทับใจ ก็จะกลับไปบอกต่อ อาจเป็นรูปแบบเขียนเล่าประสบการณ์ การจัดแพกเกจทัวร์เข้ามาเที่ยว หรือ การบอกต่อชวนเพื่อนฝูงหรือญาติเข้ามาเที่ยว นอกจากนั้นการแสดงออกถึงความจริงใจ เช่นการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อถือเราและเกิดความเชื่อมั่น”
นอกจากนั้นจะใช้หลักประสานการทำงานร่วมกับ ทั้งการประสานงานภายในองค์กร เพื่อให้ บรรลุถึงวัตถุประสงค์เป้าหมายขององค์กร ขณะเดียวกันก็จะประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆภายนอกองค์กร เช่น กระทรวงทรัพยากรฯ องค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้ว่า ซีอีโอ เป็นต้น เพื่อให้การทำงานด้านการท่องเที่ยวดำเนินการไปด้วยดี เพราะเรื่องท่องเที่ยว เป็นงานที่ต้องทำงานร่วมกับหลายๆหน่วยงาน โดย ททท.จะทำหน้าที่ด้านการตลาดอย่างเต็มตัว
ยอมรับว่าท่องเที่ยวเป็นตลาดที่อ่อนไหวกับเหตุการณ์ไม่ปกติ ที่จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางได้ทุกโอกาส ดังนั้นการทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย ถือเป็นสิ่งสำคัญ ประเทศไทยมีจุดขายเรื่องความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว และ น้ำใจไมตรีที่คนไทยมีต่อนักท่องเที่ยว ถือเป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากในประเทศอื่นๆ ดังนั้นเราจะต้องคงส่วนนี้ไว้และเชิดชูให้เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยให้ชัดเจนและโดดเด่นเหนือคู่แข่งขัน
“ที่ผ่านมาในชีวิตการทำงาน ต้องทำงานท่ามกลางปัจจัยลบในหลายเหตุการณ์ เช่น ช่วงสงครามอ่าเปอร์เซีย เหตุระเบิดอาคารเวิร์ดเทรดน์ สถานการณ์การโรคระบาด”ซาร์ส” ,ไข้หวัดนก และ เหตุภัยพิบัติสึนามิ ซึ่งจะนำประสบการณ์ดังกล่าว มาปรับใช้ หากประเทศไทยต้องประสบภาวะวิกฤติจากปัจจัยลบที่ไม่สามารถควบคุมได้” พรศิริกล่าว
สำหรับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 5.47 แสนล้านบาท และใน 4 ปีข้างจะรายได้จากนักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศจะต้องเพิ่มเป็น 7.3 แสนล้านบาท