ยูโรเปี้ยนฟู้ดอัดงบการตลาดปีหมู 150 ล้านบาท เน้นทำตลาดแบบ360องศาและโฟกัสช่องทางบีโลว์ เดอะ ไลน์ เผยไม่มีแผนแตกไลน์สินค้าแต่จะเน้นเพิ่มความหลากหลายในสินค้าที่มีอยู่ พร้อมปรับขนาดและราคาเลเยอร์เค้กเอลเซ่ลง เพื่อเจาะกลุ่มรากหญ้าในต่างจังหวัด มั่นใจดันยอดขายปีหน้าโต15% ส่วนภาพรวมปีนี้พบว่ายอดขายโตน้อยสุดในรอบ 8 ปีเหตุเพราะปัจจัยลบอื้อ คาดปิดยอดขายรวมสิ้นปีนี้ที่ 2 พันล้านบาท ระบุกรณีที่รัฐเตรียมคุมขนมไม่ได้รับกระทบ ห่วงเอฟทีเอจีนมากกว่าจะส่งผลเสียต่อตลาดช่วงต้น
นายสมชาย เวชากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายยูโร่คัสตาร์ดเค้ก, เลเยอร์เค้กตราเอลเซ่,เวเฟอร์ตราปักกิ่ง และเครื่องดื่มชาเขียวโตเซน ฯลฯ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้าบริษัทฯเตรียมทำตลาดแบบครบวงจร 360 องศามากขึ้น ภายใต้งบการตลาด 150 ล้านบาท ซึ่งถือว่าใช้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 100 ล้านบาท
โดยแผนการทำตลาดจะเน้นในช่องทางบีโลว์ เดอะ ไลน์มากขึ้นจากเดิมจะนิยมใช้งบไปในช่องทางอโบฟ เดอะ ไลน์คิดเป็นสัดส่วน 80% บีโลว์ เดอะ ไลน์ 20% แต่ปีหน้าบีโลว์ เดอะ ไลน์จะเพิ่มเป็น 35% เนื่องจากบริษัทฯต้องการสร้างทุกแบรนด์สินค้าในเครือยูโรเปี้ยนฟู้ดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และผลักดันยอดรายได้รวมในปีหน้าเติบโตขึ้น 10-15% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาท
“ปีหน้าบริษัทฯไม่มีแผนแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เราจะเน้นเปิดตัวสินค้าใหม่ในแต่ละกลุ่มสินค้าที่มีอยู่ เช่น เค้ก,เวเฟอร์ และลูกอม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคของลูกค้าเก่าและขยายฐานไปสู่ลูกค้าใหม่ รวมถึงมีแผนปรับราคาและขนาดของสินค้าเลเยอร์เค้กเอลเซ่ลงจาก 3 บาท 17-18 กรัมลงเป็น 2 บาท ขนาด12 กรัม เพื่อรองรับกับกำลังซื้อของคนกลุ่มรากหญ้าในต่างจังหวัด”
ในส่วนของแผนการตลาดชาเขียวโตเซนต่อจากนี้ไปบริษัทฯเตรียมปรับดีไซน์แพคเกจใหม่โดยที่ไม่มีรูปพรีเซ็นเตอร์สาว “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” เนื่องจากหมดสัญญา ดังนั้นบริษัทฯจึงเตรียมหาวิธีการนำเสนอในรูปแบบ อาทิ หาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เป็นต้น รวมถึงปีหน้าเตรียมเปิดตัว 2 รสชาติใหม่ในช่วงกลางปี เพื่อมุ่งหวังให้คนจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น ปัจจุบันโตเซนมี 4 รสชาติ ได้แก่ สูตรสารสกัดเมล็ดองุ่น,สูตรสกัดจากบิลเบอร์รี่ กลิ่นจัสมิน,สูตรสกัดจากเมล็ดองุ่น กลิ่นลิ้นจี่และชามะนาว
ส่วนภาพรวมปี 2549 นี้บริษัทฯได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภาวะน้ำมันแพง,อัตราดอกเบี้ยสูงและการเมืองไม่นิ่ง ส่งผลให้ยอดขายที่ปกติจะเติบโตปีละ15% แต่ปีนี้คาดว่ายอดขายจะเติบโตขึ้น10% ถือว่าโตน้อยในรอบ 7-8 ปี โดยหากคิดเป็นมูลค่าเงินปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 2 ,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขาย แบ่งเป็น กลุ่มเค้ก ได้แก่ ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก, เลเยอร์เค้กตราเอลเซ่และบัตเตอร์เค้กยูโร่ มีสัดส่วน 40% รองมาเป็นกลุ่มแป้งและช็อกโกแล็ต ได้แก่ เวเฟอร์ตราปักกิ่ง,เวเฟอร์ตราโอโจ้ 20% และ 40% มาจาก 3 กลุ่มเท่าๆกัน ได้แก่ 1.กลุ่มเยลลี่และมาร์ชเมลโล่ เช่น แบรนด์ เยลลี่ปีโป้ 2.กลุ่มลูกอมและหมากผรั่ง เช่น ฮิตโต และ3.เครื่องดื่ม ได้แก่ โตเซน
นายสมชาย กล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมควบคุมสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คที่มีแคลลอรี่สูงและขนมที่ทานแล้วอ้วนว่า ตรงนี้บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสินค้าของยูโรเปี้ยนฟู้ดไม่มีของทอดและทานแล้วไม่ก่อให้เกิดแคลลอรี่ที่สูง ส่วนเรื่องที่ภาครัฐเตรียมออกฉลากสินค้าเพื่อบ่งบอกระดับของขนมเป็นสีๆ ได้แก่ สีแดง,สีเหลืองและสีเขียวนั้น ตรงนี้มั่นใจว่าสินค้าของบริษัทฯได้เป็นสีเขียวทั้งหมด เรื่องดังกล่าวนี้มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคน้อยหรือคิดเป็นสัดส่วน10%
“หากรัฐบาลประกาศกฎควบคุมเรื่องดังกล่าวจริงมองว่าบริษัทที่มีระบบที่ดีก็จะไม่มีปัญหา ส่วนบริษัทที่ผลิตขนมราคาถูกไม่มีคุณภาพก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งภาครัฐควรจะดูแลกลุ่มหลังนี้มากกว่า นอกจากนี้การที่ไทยได้เจรจาเปิดการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับจีนจะทำให้สินค้าหรือขนมที่มาจากจีนจะเข้ามาในไทยเยอะในช่วงนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดไทยในช่วงแรก เพราะสินค้าของจีนมีราคาถูกแต่มีคุณภาพไม่ค่อยดี แต่หลังจากนั้นเชื่อว่าผู้บริโภคคนไทยจะรับรู้ถึงคุณภาพที่มีน้อยและก็จะเลิกซื้อสินค้าจีนไปในที่สุด” นายสมชายกล่าว