แอล.เอ็ม.อี.เผยแผนการตลาดเสื้อผ้ารับปีหมูเน้นทำแบรนด์เดิมที่มีอยู่กว่า 7 แบรนด์ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะแบรนด์น้องใหม่ "ฟ็อกซ์" ที่เพิ่งนำเข้าจากยุโรป เตรียมสร้างแบรนด์และขยายช่องทางขายเพิ่ม พร้อมระบุแนวการทำการตลาดเสื้อผ้ายุคโลกาภิวัฒน์ต้องตามให้ทันไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าแบรนด์ใหม่และส่งสินค้าไปทำตลาดยังต่างประเทศ ล่าสุดช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้เตรียมเล่นโปรโมชั่นราคาสู้ศึกเสื้อผ้าแข่งเดือด คาดยอดขายเสื้อผ้าสิ้นปีนี้โตใกล้เคียงตลาดรวมที่ 20%
ดร.พงค์ศานติ์ อภิรติเกียรติ กรรมการบริหาร บริษัทแอล.เอ็ม.อี. จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้า ได้แก่ เอสพาด้า(Espada) ,อีเอสพี(ESP),อีพี(EP) ,ร็อค เอ็กซ์เพรส (Rock Express), แอลทีดี(Ltd),บีทีทู(BT2) และแบรนด์นำเข้าฟ็อกซ์(Fox) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้าของบริษัทฯในปีหน้าจะเน้นการทำตลาดเสื้อผ้าแบรนด์เดิมที่มีอยู่กว่า 7 แบรนด์ให้ดี โดยเฉพาะแบรนด์เสื้อผ้าฟ็อกซ์(Fox) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทฯเพิ่งนำเข้าจากยุโรปได้ประมาณเดือนกว่าๆ ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายแบรนด์ฟ็อกซ์เพิ่มทั้งในรูปแบบแฟลกชิฟสโตร์และคอนเนอร์ตามห้างสรรพสินค้า จากปัจจุบันฟ็อกซ์มีร้านในรูปแบบแฟลกชิฟสโตร์อยู่ 1 แห่งที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวและมีคอนเนอร์ตามห้างสรรพสินค้า 20 แห่ง สำหรับสินค้าของฟ็อกซ์จะมีทั้งเสื้อสำหรับผู้ชาย, เสื้อผ้าผู้หญิง ,เสื้อผ้าเด็กโตและเด็กเล็กมีระดับราคาสินค้าจัดได้ว่าอยู่สูงกว่าแบรนด์ไทยประมาณ 10-15%
"การที่บริษัทฯเริ่มนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดแทนที่แบรนด์ไทยที่สร้างขึ้นเองนั้น เพราะเล็งเห็นว่าปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์การทำตลาดจึงมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งแบรนด์สินค้าของบริษัทฯเองก็ยังไปทำตลาดในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์,ฟิลิปปินส์,บรูไน,พม่าและเขมร เป็นต้น รวมถึงการที่บริษัทฯเล็งเห็นช่องว่างในตลาดเสริมความงามที่มีการเติบโตสูงและมีรูปแบบการทำตลาดที่คล้ายกับสินค้าเสื้อผ้า เช่น การเปิดร้านและวางขายสินค้าในห้าง ซึ่งตรงนี้เรามีประสบการณ์และมีเครือข่ายมากจึงง่ายต่อการเปิดตลาด"
เล่นโปรโมชั่นราคาสู้ศึกเสื้อผ้าท้ายปี
ดร.พงค์ศานติ์ กล่าวด้วยว่า แผนการทำตลาดสินค้าเสื้อผ้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี2549นี้ บริษัทฯจะใช้กลยุทธ์เรื่องราคาตามการทำตลาดของศูนย์การค้าที่เน้นใช้โปรโมชั่นราคาในการทำตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับบริษัทฯจะเน้นการทำเมอชันไดซ์ซิ่งในตัวสินค้าและวิธีจัดวางสินค้า เพื่อให้ตรงใจผู้บริโภคทุกกลุ่ม เพราะปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามีการแข่งขันสูงลูกค้าจึงมีทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงทำตลาดด้านอื่นๆ เช่น ซีอาร์เอ็มและจัดกิจกรรมร่วมกับห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ในส่วนยอดรายได้ของบริษัทฯในสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าปีนี้คาดว่าจะมียอดรายได้เติบโตขึ้น 20% โดยแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุด ได้แก่ เอสพาด้า คิดเป็นสัดส่วน 25% ของยอดขายรวม รองมาเป็นอีเอสพี มีสัดส่วน 15-16% ตามด้วยแอลทีดีและอีพีรวมกัน 15% ขณะที่แบรนด์ร็อค เอ็กซ์เพรสและบีทีทู ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เน้นเรื่องยีนส์พบว่าในปีนี้มีการเติบโตไม่สูง เพราะเจ้าตลาดยีนส์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งในตลาดทำให้ทั้งสองแบรนด์ของบริษัทฯยากที่จะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด
สำหรับตลาดรวมเสื้อผ้าในประเทศไทยปีนี้พบว่ายังมีอัตราการเติบโตอยู่ แม้ว่าตลาดจะประสบกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% ซึ่งช่วงระยะเวลาที่มีการเติบโตมากสุด คือ ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้พบว่ามีการเติบโตสูงมาก จากนั้นช่วงไตรมาสสองตลาดมีการเติบโตลดลง และตลาดทรงตัวในช่วงไตรมาสที่สาม ส่วนไตรมาสที่สี่นี้คาดว่าตลาดจะกลับมาโตขึ้นอีกครั้ง หลังจากปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงและเป็นช่วงเทศกาล สำหรับตลาดรวมเสื้อผ้าในปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดจะโตขึ้นหรือมากกว่า 20%
ดร.พงค์ศานติ์ อภิรติเกียรติ กรรมการบริหาร บริษัทแอล.เอ็ม.อี. จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้า ได้แก่ เอสพาด้า(Espada) ,อีเอสพี(ESP),อีพี(EP) ,ร็อค เอ็กซ์เพรส (Rock Express), แอลทีดี(Ltd),บีทีทู(BT2) และแบรนด์นำเข้าฟ็อกซ์(Fox) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจสินค้าในกลุ่มเสื้อผ้าของบริษัทฯในปีหน้าจะเน้นการทำตลาดเสื้อผ้าแบรนด์เดิมที่มีอยู่กว่า 7 แบรนด์ให้ดี โดยเฉพาะแบรนด์เสื้อผ้าฟ็อกซ์(Fox) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทฯเพิ่งนำเข้าจากยุโรปได้ประมาณเดือนกว่าๆ ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายแบรนด์ฟ็อกซ์เพิ่มทั้งในรูปแบบแฟลกชิฟสโตร์และคอนเนอร์ตามห้างสรรพสินค้า จากปัจจุบันฟ็อกซ์มีร้านในรูปแบบแฟลกชิฟสโตร์อยู่ 1 แห่งที่เซ็นทรัล ลาดพร้าวและมีคอนเนอร์ตามห้างสรรพสินค้า 20 แห่ง สำหรับสินค้าของฟ็อกซ์จะมีทั้งเสื้อสำหรับผู้ชาย, เสื้อผ้าผู้หญิง ,เสื้อผ้าเด็กโตและเด็กเล็กมีระดับราคาสินค้าจัดได้ว่าอยู่สูงกว่าแบรนด์ไทยประมาณ 10-15%
"การที่บริษัทฯเริ่มนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดแทนที่แบรนด์ไทยที่สร้างขึ้นเองนั้น เพราะเล็งเห็นว่าปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์การทำตลาดจึงมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งแบรนด์สินค้าของบริษัทฯเองก็ยังไปทำตลาดในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์,ฟิลิปปินส์,บรูไน,พม่าและเขมร เป็นต้น รวมถึงการที่บริษัทฯเล็งเห็นช่องว่างในตลาดเสริมความงามที่มีการเติบโตสูงและมีรูปแบบการทำตลาดที่คล้ายกับสินค้าเสื้อผ้า เช่น การเปิดร้านและวางขายสินค้าในห้าง ซึ่งตรงนี้เรามีประสบการณ์และมีเครือข่ายมากจึงง่ายต่อการเปิดตลาด"
เล่นโปรโมชั่นราคาสู้ศึกเสื้อผ้าท้ายปี
ดร.พงค์ศานติ์ กล่าวด้วยว่า แผนการทำตลาดสินค้าเสื้อผ้าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี2549นี้ บริษัทฯจะใช้กลยุทธ์เรื่องราคาตามการทำตลาดของศูนย์การค้าที่เน้นใช้โปรโมชั่นราคาในการทำตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับบริษัทฯจะเน้นการทำเมอชันไดซ์ซิ่งในตัวสินค้าและวิธีจัดวางสินค้า เพื่อให้ตรงใจผู้บริโภคทุกกลุ่ม เพราะปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามีการแข่งขันสูงลูกค้าจึงมีทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมถึงทำตลาดด้านอื่นๆ เช่น ซีอาร์เอ็มและจัดกิจกรรมร่วมกับห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ในส่วนยอดรายได้ของบริษัทฯในสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าปีนี้คาดว่าจะมียอดรายได้เติบโตขึ้น 20% โดยแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุด ได้แก่ เอสพาด้า คิดเป็นสัดส่วน 25% ของยอดขายรวม รองมาเป็นอีเอสพี มีสัดส่วน 15-16% ตามด้วยแอลทีดีและอีพีรวมกัน 15% ขณะที่แบรนด์ร็อค เอ็กซ์เพรสและบีทีทู ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เน้นเรื่องยีนส์พบว่าในปีนี้มีการเติบโตไม่สูง เพราะเจ้าตลาดยีนส์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งในตลาดทำให้ทั้งสองแบรนด์ของบริษัทฯยากที่จะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด
สำหรับตลาดรวมเสื้อผ้าในประเทศไทยปีนี้พบว่ายังมีอัตราการเติบโตอยู่ แม้ว่าตลาดจะประสบกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% ซึ่งช่วงระยะเวลาที่มีการเติบโตมากสุด คือ ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้พบว่ามีการเติบโตสูงมาก จากนั้นช่วงไตรมาสสองตลาดมีการเติบโตลดลง และตลาดทรงตัวในช่วงไตรมาสที่สาม ส่วนไตรมาสที่สี่นี้คาดว่าตลาดจะกลับมาโตขึ้นอีกครั้ง หลังจากปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงและเป็นช่วงเทศกาล สำหรับตลาดรวมเสื้อผ้าในปีหน้าคาดการณ์ว่าตลาดจะโตขึ้นหรือมากกว่า 20%