ฟิลิปส์พร้อมเดินหน้าอัดงบพิเศษลุยตลาดหม้อหุงข้าวในเอเชียเต็มสูบ หลังเงียบไป 2 ปี เพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับนโยบายและศึกษาตลาด ล่าสุดตบเท้าส่งหม้อหุงข้าวกว่า 9 รุ่น มั่นใจโค่นเก้าอี้แชมป์ภายใน 3 ปี
นางอุระสินี ดีประเสริฐ ผู้จัดการทั่วไปส่วนกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชิ้นเล็ก บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วง 2 ปีก่อนบริษัทฯเคยทำตลาดหม้อหุงข้าว แต่เป็นการทำตลาดที่ไม่จริงจัง บวกกับเป็นสินค้าที่ทางบริษัทฯไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ ขณะที่ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ทางบริษัทฯแม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดดังกล่าว จึงได้มีการหยุดทำตลาด เพื่อพัฒนาสินค้า ทั้งในแง่ของดีไซน์และเทคโนโลยี และสินค้าสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ โดยใช้เวลากว่า 2 ปี จึงได้กลับมาทำตลาดหม้อหุงข้าวอีกครั้งทั่วเอเชียในปีนี้ เริ่มจากประเทศจีนเป็นประเทศแรก
“บริษัทฯแม่เล็งเห็นว่า ถ้าต้องการที่จะเป็นผู้นำในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในภูมิภาคเอเชียแล้ว หม้อหุงข้าวถือเป็นเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่จำไปสู่ความเป็นผู้นำ เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียส่วนใหญ่ จะบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ดังนั้นหม้อหุงข้าวจึงเป็นตลาดมี่น่าสนใจ ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ให้ความสำคัญ พร้อมกับ จัดงบประมาณในการทำตลาดหม้อหุงข้าวทั่วภูมิภาคเอเชียเป็นพิเศษ โดยแต่ละประเทศจะได้งบประมาณแตกต่างกันไป ส่วนในประเทศไทยนั้น ได้งบประมาณมาทำตลาดใกล้เคียงกับ งบประมาณทางการตลาดที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นงบประมาณที่สูงมาก ทั้งนี้ก็เพื่อการเป็นผู้นำในกลุ่มหม้อหุงข้าวภายใน 3 ปีนั้นเอง”
ล่าสุดสำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น ได้นำหม้อหุงข้าวเข้ามาทำตลาดกว่า 9 รุ่น ทั้งในแบบธรรมดา และอุ่นทิพย์ ระดังราคาตั้งแต่ 590-2,290 บาท ซึ่งราคาที่วางจำหน่ายนั้น เมื่อเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตลาด จะมีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 100 บาท ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยีที่แตกต่างนั้นเอง ขณะที่หม้อหุงข้าวที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ จะเป็นการนำเข้าจากประเทศจีนทั้งหมด เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตหม้อหุงข้าวสำหรับประเทศในเอเชียเพียงแห่งเดียวในขณะนี้
ส่วนการทำตลาดในประเทศไทยนั้นจะใช้กลยุทธ์ คอนซูเมอร์ เอ็กซ์พีเรียน มาร์เก็ตติ้ง (Consumer Experience Marketing) ให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณสมบัติและประสิทธิภาพการทำงานที่ใช้ง่าย และสามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังนำ เซเลเบตี้ มาร์เก็ตติ้งมาใช้ควบคู่กันไปด้วย โดยการนำนางศศิธร วัฒนกุล หรือ ลอร่า ดาราพิธีกรชื่อดัง ที่มีภาพลักษณ์เป็น แม่บ้านยุคใหม่ มาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ในการจัดกิจกรรมโรดโชว์ อีกด้วย
“บริษัทฯมั่นใจว่า ภายในปีแรก สำหรับการทำตลาดครั้งนี้ จะสามารถจำหน่ายหม้อหุงข้าวแบ่งเป็นสัดส่วน รุ่นธรรมดา 40 %และอุ่นทิพย์ 60 % โดยมาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด 80%และ เทรดดิชันนัล เทรด 20%” นางอุระสินี กล่าว
ปัจจุบันตลาดหม้อหุงข้าวมีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท แบ่งเป็นรุ่นธรรมดา 50 % และอุ่นทิพย์ 50 % หรือคิดเป็นจำนวนความต้องการกว่า 2.1 ล้านยูนิต โดยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในแต่ละปีประมาณ 5 % ขณะที่ผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่มากกว่า40 %ทิ้งห่าง อันดับ 2, 3 และ 4 ค่อนข้างสูง เนื่องจากตั้งแต่อันดับ 2 ลงมาไม่ค่อยทำตลาดอย่างจริงจัง หรือจะเป็นการทำตลาดเฉพาะมากกว่า ดังนั้นทางบริษัทฯจึงมองว่า การเข้ามาทำตลาดหม้อหุงข้าวครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องยาก โดยคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี
ขณะเดียวกันหม้อหุงข้าวจะเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้แก่กลุ่มเครื่องใช้ๆไฟฟ้าขนาดเล็ก รองจากเครื่องปั่น และเตารีด ที่สร้างรายได้หลักอยู่ในขณะนี้ โดยเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กโดยรวม สินค้าหลักๆที่สร้างรายได้ 1. พัดลม 40% 2.หม้อหุงข้าว 22% และ 3. เตารีด 17%
นางอุระสินี ดีประเสริฐ ผู้จัดการทั่วไปส่วนกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชิ้นเล็ก บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วง 2 ปีก่อนบริษัทฯเคยทำตลาดหม้อหุงข้าว แต่เป็นการทำตลาดที่ไม่จริงจัง บวกกับเป็นสินค้าที่ทางบริษัทฯไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ ขณะที่ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ทางบริษัทฯแม่เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดดังกล่าว จึงได้มีการหยุดทำตลาด เพื่อพัฒนาสินค้า ทั้งในแง่ของดีไซน์และเทคโนโลยี และสินค้าสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ โดยใช้เวลากว่า 2 ปี จึงได้กลับมาทำตลาดหม้อหุงข้าวอีกครั้งทั่วเอเชียในปีนี้ เริ่มจากประเทศจีนเป็นประเทศแรก
“บริษัทฯแม่เล็งเห็นว่า ถ้าต้องการที่จะเป็นผู้นำในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กในภูมิภาคเอเชียแล้ว หม้อหุงข้าวถือเป็นเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่จำไปสู่ความเป็นผู้นำ เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียส่วนใหญ่ จะบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ดังนั้นหม้อหุงข้าวจึงเป็นตลาดมี่น่าสนใจ ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ให้ความสำคัญ พร้อมกับ จัดงบประมาณในการทำตลาดหม้อหุงข้าวทั่วภูมิภาคเอเชียเป็นพิเศษ โดยแต่ละประเทศจะได้งบประมาณแตกต่างกันไป ส่วนในประเทศไทยนั้น ได้งบประมาณมาทำตลาดใกล้เคียงกับ งบประมาณทางการตลาดที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กตลอดทั้งปี ซึ่งถือว่าเป็นงบประมาณที่สูงมาก ทั้งนี้ก็เพื่อการเป็นผู้นำในกลุ่มหม้อหุงข้าวภายใน 3 ปีนั้นเอง”
ล่าสุดสำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น ได้นำหม้อหุงข้าวเข้ามาทำตลาดกว่า 9 รุ่น ทั้งในแบบธรรมดา และอุ่นทิพย์ ระดังราคาตั้งแต่ 590-2,290 บาท ซึ่งราคาที่วางจำหน่ายนั้น เมื่อเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตลาด จะมีราคาเฉลี่ยสูงกว่า 100 บาท ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยีที่แตกต่างนั้นเอง ขณะที่หม้อหุงข้าวที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ จะเป็นการนำเข้าจากประเทศจีนทั้งหมด เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตหม้อหุงข้าวสำหรับประเทศในเอเชียเพียงแห่งเดียวในขณะนี้
ส่วนการทำตลาดในประเทศไทยนั้นจะใช้กลยุทธ์ คอนซูเมอร์ เอ็กซ์พีเรียน มาร์เก็ตติ้ง (Consumer Experience Marketing) ให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณสมบัติและประสิทธิภาพการทำงานที่ใช้ง่าย และสามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังนำ เซเลเบตี้ มาร์เก็ตติ้งมาใช้ควบคู่กันไปด้วย โดยการนำนางศศิธร วัฒนกุล หรือ ลอร่า ดาราพิธีกรชื่อดัง ที่มีภาพลักษณ์เป็น แม่บ้านยุคใหม่ มาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ในการจัดกิจกรรมโรดโชว์ อีกด้วย
“บริษัทฯมั่นใจว่า ภายในปีแรก สำหรับการทำตลาดครั้งนี้ จะสามารถจำหน่ายหม้อหุงข้าวแบ่งเป็นสัดส่วน รุ่นธรรมดา 40 %และอุ่นทิพย์ 60 % โดยมาจากช่องทางโมเดิร์นเทรด 80%และ เทรดดิชันนัล เทรด 20%” นางอุระสินี กล่าว
ปัจจุบันตลาดหม้อหุงข้าวมีมูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท แบ่งเป็นรุ่นธรรมดา 50 % และอุ่นทิพย์ 50 % หรือคิดเป็นจำนวนความต้องการกว่า 2.1 ล้านยูนิต โดยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในแต่ละปีประมาณ 5 % ขณะที่ผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่มากกว่า40 %ทิ้งห่าง อันดับ 2, 3 และ 4 ค่อนข้างสูง เนื่องจากตั้งแต่อันดับ 2 ลงมาไม่ค่อยทำตลาดอย่างจริงจัง หรือจะเป็นการทำตลาดเฉพาะมากกว่า ดังนั้นทางบริษัทฯจึงมองว่า การเข้ามาทำตลาดหม้อหุงข้าวครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องยาก โดยคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ภายในระยะเวลา 3 ปี
ขณะเดียวกันหม้อหุงข้าวจะเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้แก่กลุ่มเครื่องใช้ๆไฟฟ้าขนาดเล็ก รองจากเครื่องปั่น และเตารีด ที่สร้างรายได้หลักอยู่ในขณะนี้ โดยเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กโดยรวม สินค้าหลักๆที่สร้างรายได้ 1. พัดลม 40% 2.หม้อหุงข้าว 22% และ 3. เตารีด 17%