สถาบันจัดลำดับความน่าเชื่อถือและวัดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจชื่อดังของสหรัฐและญี่ปุ่นปรับเพิ่มลำดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทย หลังนายกรัฐมนตรีเดินสายชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์การเมือง-เศรษฐกิจในประเทศ สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ
นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ช่วงระยะประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา สถาบันระดับโลกด้านการจัดลำดับความน่าเชื่อถือและวัดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายแห่ง อาทิ Standard & Poor’s (S&P) แห่งสหรัฐอเมริกา Fitch Ratings แห่งสหรัฐอเมริกา และ Japan Credit Rating Agency (JCR) แห่งญี่ปุ่น ได้ปรับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยใหม่ให้ดีขึ้น
“ที่ผ่านมาผู้สังเกตการณ์ชาวต่างประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยและสถาบันเหล่านี้เคยกำหนดให้ไทยมีสถานะเป็นลบ (Negative) และอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง (Credit Watch) เนื่องจากกรณีรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้สถาบันดังกล่าวเห็นว่ามีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ขณะนี้สถาบันทั้ง 3 แห่ง เห็นว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงได้ถอนสถานะ Credit Watch Negative ที่เคยให้ไว้กับไทยออก และเห็นว่าภาพรวมของไทยมีเสถียรภาพ (Stable) ได้ประกาศคงความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อไป” นายเกียรติคุณ กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2549 Fitch ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ (ระยะยาว) ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาท (ระยะยาว) ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ และสกุลเงินบาท มีความน่าเชื่อถือในระดับ F2 และตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2549 S&P ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ (ระยะยาว) ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาท (ระยะยาว) ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ มีความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ A-2 สกุลเงินบาท ที่ระดับ A-1
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 JCR ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ ระยะยาวที่ระดับ A- และสกุลเงินบาทที่ระดับ A+ (พันธบัตรระยะสั้นไม่มีการจัดลำดับ) และในช่วงระยะเดียวกันนี้ หอการค้าสหรัฐ (The U.S. Chamber of Commerce) ก็ได้ออกเอกสารนโยบาย (Policy paper) เรื่อง “Southeast Asia : Dynamic Opportunities for U.S.Competitiveness” ปี ค.ศ.2006-2007 ระบุว่าการยึดอำนาจในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากการเสียเลือดเนื้อและสถานการณ์ทางการเมืองในไทยมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยและเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพและน่าลงทุนอยู่
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความมั่นใจที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อประเทศ โดยที่ผ่านมาใช้โอกาสต่าง ๆ เช่น การพบสื่อมวลชนต่างชาติของนายกรัฐมนตรีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในประเทศไทย (FCCT) การชี้แจงต่อผู้นำประเทศอาเซียนและจีนการอธิบายต่อผู้นำสหรัฐและผู้นำของระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก APEC ในโอกาสการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ที่กรุงฮานอย เป็นต้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเพิ่งได้รับเชิญจาก World Economic Forum (WEF) ซึ่งมีที่ตั้ง ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุม WEF ประจำปี ที่เมืองดาโวส สวิตเซอร์แลนด์ช่วงปลายเดือนมกราคม 2550 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องนี้
นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ช่วงระยะประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา สถาบันระดับโลกด้านการจัดลำดับความน่าเชื่อถือและวัดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายแห่ง อาทิ Standard & Poor’s (S&P) แห่งสหรัฐอเมริกา Fitch Ratings แห่งสหรัฐอเมริกา และ Japan Credit Rating Agency (JCR) แห่งญี่ปุ่น ได้ปรับการจัดลำดับความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทยใหม่ให้ดีขึ้น
“ที่ผ่านมาผู้สังเกตการณ์ชาวต่างประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยและสถาบันเหล่านี้เคยกำหนดให้ไทยมีสถานะเป็นลบ (Negative) และอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง (Credit Watch) เนื่องจากกรณีรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้สถาบันดังกล่าวเห็นว่ามีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ขณะนี้สถาบันทั้ง 3 แห่ง เห็นว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงได้ถอนสถานะ Credit Watch Negative ที่เคยให้ไว้กับไทยออก และเห็นว่าภาพรวมของไทยมีเสถียรภาพ (Stable) ได้ประกาศคงความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อไป” นายเกียรติคุณ กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2549 Fitch ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ (ระยะยาว) ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาท (ระยะยาว) ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ และสกุลเงินบาท มีความน่าเชื่อถือในระดับ F2 และตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2549 S&P ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ (ระยะยาว) ในระดับ BBB+ และความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินบาท (ระยะยาว) ที่ระดับ A ส่วนพันธบัตรระยะสั้นของไทย สกุลเงินต่างชาติ มีความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับ A-2 สกุลเงินบาท ที่ระดับ A-1
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 JCR ได้จัดลำดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรที่ไทยออกเป็นสกุลเงินต่างชาติ ระยะยาวที่ระดับ A- และสกุลเงินบาทที่ระดับ A+ (พันธบัตรระยะสั้นไม่มีการจัดลำดับ) และในช่วงระยะเดียวกันนี้ หอการค้าสหรัฐ (The U.S. Chamber of Commerce) ก็ได้ออกเอกสารนโยบาย (Policy paper) เรื่อง “Southeast Asia : Dynamic Opportunities for U.S.Competitiveness” ปี ค.ศ.2006-2007 ระบุว่าการยึดอำนาจในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายนเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากการเสียเลือดเนื้อและสถานการณ์ทางการเมืองในไทยมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยและเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพและน่าลงทุนอยู่
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความมั่นใจที่นักลงทุนต่างชาติมีต่อประเทศ โดยที่ผ่านมาใช้โอกาสต่าง ๆ เช่น การพบสื่อมวลชนต่างชาติของนายกรัฐมนตรีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในประเทศไทย (FCCT) การชี้แจงต่อผู้นำประเทศอาเซียนและจีนการอธิบายต่อผู้นำสหรัฐและผู้นำของระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก APEC ในโอกาสการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ที่กรุงฮานอย เป็นต้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเพิ่งได้รับเชิญจาก World Economic Forum (WEF) ซึ่งมีที่ตั้ง ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุม WEF ประจำปี ที่เมืองดาโวส สวิตเซอร์แลนด์ช่วงปลายเดือนมกราคม 2550 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องนี้